“ประยุทธ์” ไม่เชื่อคำพูด “ณัฐวุฒิ-ก่อแก้ว” โยงม็อบ “เสธ.อ้าย” เชื่อม “สุรยุทธ์” ย้อนถามที่ผ่านมาคนพวกนี้เคยพูดความจริงสักกี่ครั้ง พร้อมรับลูก “สุกำพล” ห้ามทหารร่วมชุมนุม ขู่หากไปแล้วเกิดเรื่อง มีความวุ่นวาย โทษถึงไล่ออก เหตุขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ซัดดีเอสไอไร้จริยธรรมพล่ามคดี 98 ศพ
วันนี้(31 ต.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวก่อนการเดินทางไปเยือนกองทัพสหรัฐอเมริกา และกองทัพญี่ปุ่น ถึงกรณีนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงขู่ จะนำม็อบมาชนกับม็อบของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยามว่า ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศไปแล้วว่าจะทำตามกรอบของกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าให้มีการชุมนุมได้โดยปราศจากอาวุธและความรุนแรง ซึ่งตนถือว่านี่คือกระบวนการประชาธิปไตย แต่อยากขอให้ทุกคนช่วยกันเฝ้าดู ถ้าใครไม่ทำหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรง ละเมิดกฎหมายก็อย่าไปร่วมมือ อำนาจอยู่ที่คนทั้งประเทศ ฉะนั้นอะไรจะเกิดได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคนทั้งประเทศ ถ้าใครใช้นอกระบบก็อย่าไปร่วมมือ
ส่วนที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง พยายามเชื่อมโยงการชุมนุมไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีว่าอยู่เบื้องหลังนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าจะเอาไปเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ต้องไปดูว่าคนที่พูดเขาพูดความจริงสักกี่อย่าง ที่ผ่านมาพูดความจริงไปกี่เรื่อง ซึ่งตนไม่รู้ เพราะตนจะสนใจในสิ่งที่เป็นความจริง ความน่าเชื่อถือ ถ้าพูดสิบครั้งแล้วเป็นเรื่องจริงแค่ 3 ครั้ง หรือพูดสิบครั้งไม่เหมือนกัน คิดว่าเชื่อถือไม่ได้
“ที่ผ่านมาสิ่งที่ผมพูดไม่เคยเปลี่ยนแปลง พูดสิบครั้งก็เหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่เคยพูดเป็นอย่างอื่น ดังนั้นต่อไปการจะเชื่อมั่นใครสักคน เราจะต้องมีการบันทึกเอาไว้ว่าที่ เขาพูดสิบครั้งตรงกันไหม ถ้าพูดสิบครั้งแล้วไม่ตรงกันก็คบไม่ได้ และอย่าไปเชื่อถือมากนัก”
ส่วนที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เป็นห่วงว่ากำลังพลจะออกไปชุมนุมนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การจะออกไปร่วมชุมนุมตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ แต่การเป็นทหารต้องมีวินัยควบคู่ไปด้วย ถ้าหากพูดถึงวินัยก็ไม่ให้ไป แต่ถ้าตามรัฐธรรมนูญก็ไปได้ แต่ถ้าหากมีเรื่องมาก็ลงโทษเพราะถือว่าผิดวินัย เพราะวินัยเป็นหัวใจของทหาร แต่ถ้าทหารทุกคนใช้คำว่าเป็นประชาธิปไตย ก็แสดงว่าทุกๆ คนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทุกเรื่อง เช่น ถ้าให้ไปรบ ตนไม่อยากไปก็ไม่ไป หรือทำงานที่เสี่ยงก็ไม่ไปเพราะอ้างว่ามีประชาธิปไตยคงไม่ใช่ ดังนั้นต้องมีวินัยทหารขึ้นมากำชับ โทษผิดวินัยมี 7 ขั้นตามลำดับความรุนแรง แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาถึงขั้นปลดและไล่ออก ถ้าไปและไม่มีเรื่องคงไม่เป็นไร แต่ถ้าไปแล้วมีเรื่อง และสอบสวนว่าไปจริงถือว่าขัดคำสั่ง
“ถ้าแอบไปคงจะไม่โดน แต่ถ้าลูกน้องไปแล้วผู้บังคับบัญชาไม่รู้ ผู้บังคับบัญชาก็ต้องโดน ถือเป็นการปกครองตามสายการบังคับบัญชา ถ้าไปแล้วเกิดความวุ่นวายไม่ได้ เพราะทหารต้องอยู่ในกรอบระเบียบวินัย และเชื่อฟังตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้น เมื่อ ผบ.ทบ.บอกว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองก็อย่าไป”
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศเข้าไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี 98 ศพ ในช่วงการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ตนจะไม่พูดเรื่อง 98 ศพอีกแล้ว และเจ้าหน้าที่คนใดที่เอาเรื่องในกระบวนการศาล หรือกระบวนการยุติธรรมออกมาพูดต่อสื่อ หรือสังคมภายนอก ตนถือว่าไม่มีจริยธรรม เพราะตนยังไม่พูดแก้ตัวจะถูกหรือผิด เนื่องจากต้องว่ากันด้วยวัตถุพยาน และการตัดสินของกระบวนการศาลยุติธรรม ที่เริ่มต้นด้วยการไต่สวน ซึ่งขั้นตอนนี้ยังถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเอามาพูดจะทำให้สังคมเข้าใจว่าผิดไปแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการศาลอาญา เช่น คดีของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่เสื้อแดง โดยทางทหารก็ต้องร้องขอความเป็นธรรม ส่วนจะได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งนี้การไต่สวนในส่วนของทหารที่เสียชีวิตก็ยังไม่ได้เริ่ม