สะเก็ดไฟ
อาการร้อนรนรีบเคลียร์กับ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่หนีบเอา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ลุยถิ่นสนามม้านางเลิ้ง
หลังจากที่มีการประกาศนัดชุมนุมวัดพลังภาคประชาชนต่อกระแสความไม่พอใจจากการบริหารประเทศของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าโหมแรงพอที่จะกระพือเป็นกระแสขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดนักโทษได้หรือไม่นั้น
ต้องนับว่าไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา
ทำไม ร.ต.อ.เฉลิม จึงให้ราคา พล.อ.บุญเลิศ และการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งในวันที่ 28 ตุลาคม 2555 มากนัก ทั้งๆ ที่ในสายตาของสังคม เสธ.อ้าย มิได้เป็นที่รู้จักของคนไทยมากเท่าใดนัก
ไม่ได้เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเหมือน สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่มีความมั่่นอกมั่นใจว่า ถึงเวลาเป่านกหวีดจะสามารถรวมตัวพันธมิตรฯเหนียวแน่นให้ออกมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ อีกทั้งยังยืนระยะได้ยาว พร้อมต่อสู้ยืดเยื้อเหมือนที่เคยพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง
แม้หลายฝ่ายจะวิพากษ์ว่าพันธมิตรฯ อยู่ในภาวะอ่อนล้า แต่ชื่อชั้นในฐานะนักชุมนุมต่อสู้ใจเกินร้อยก็ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนจำนวนมาก
แต่คราวนี้ พันธมิตรฯ ประกาศชัดแจ้งว่าจะไม่่ร่วมการชุมนุมกับเสธ.อ้าย สิ่งที่ทำคงเป็นเพียงการให้กำลังใจ ที่กล้าออกมานำทัพต่อสู้กับรัฐบาลลุแก่อำนาจเท่านั้น
แล้วทำไม ร.ต.อ.เฉลิมจึงให้ราคาการชุมนุมครั้งนี้สูงนัก ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับรู้ว่ามีระเบิด เลยรีบส่งคนไปถอดชนวนเสียก่อนที่จะพังไปทั้งรัฐบาล นั่นย่อมหมายถึงว่า ร.ต.อ.เฉลิม ที่มักย้ำหนักย้ำหนาว่า รัฐบาลจะอยู่สามสมัยซ้อน
อยู่ในอาการปากกล้าขาสั่น เพราะรู้ดีว่าปีกว่าของการบริหารงานมันโชว์ห่วยสร้างความเสียหายจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน ซึ่งเป็นการกัดเซาะฐานเสียงอันเข้มแข็งที่พรรคเพื่อไทยมั่นใจไปได้พอสมควร
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด การเอื้อมมือไปหาฝ่ายตรงกันข้ามเพื่อแสดงมิตรไมตรีย่อมเป็นทางออกที่ ร.ต.อ.เฉลิมคิดว่าจะช่วยดึงฟืนออกจากกองไฟ ไม่ให้ลุกโชนจนดับไม่ทัน
คำพูดตรงไปตรงมาแบบชายชาติทหารของเสธ.อ้าย แม้ไม่มีกองกำลังอยู่ในมือที่จะทำการปฏิวัติได้ แต่สิ่งที่คนเสื้อแดงกลัวนักหนา เพราะมีความเชื่อว่า เสธ.อ้าย เป็นเพื่อนของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี
ถึงขนาด นายคารม พลพรกลาง ทนายความคนเสื้อแดงบุกกองปราบแจ้งความดำเนินคดี เสธ.อ้าย พ่วง สนธิ ลิ้มทองกุล ด้วย จากกรณีที่สนับสนุนให้ทหารออกมาปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 และ 21 มกราคมที่ผ่านมา ในข้อหายุยงให้ราษฎรหรือยุยงทหารให้ก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 114, 115 และ 116 (2)
ล่าสุด เสธ.อ้ายก็ยังย้ำคำเดิมในภาวะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มว่า “พวกผมที่เป็นทหารเก่าอยากให้ปฏิวัติมานานแล้วเพราะรู้ว่ารัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนบงการมีแต่มาโกงเงินแผ่นดินทั้งสิ้น ส่วนกระแสข่าวที่ว่าอาจจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นนั้นยอมรับว่ามีการพูดคุยกันจริง เพราะมีหลายภาคส่วนทนไม่ได้กับการบริหารงานของรัฐบาล และหากผมมีกำลังทหารอยู่ในมือคงปฏิวัติไปนานแล้ว พร้อมเห็นว่าหากฝ่ายทหารเข้ามาร่วมชุมนุมและฟังข้อมูล จะเห็นด้วยกับแนวคิดของผม”
ชัดเจนจนหนาวตั้งแต่ช่วงปลายฝน “การหยุดวิกฤตและหายนะของชาติ” ที่ เสธ.อ้ายสละตัวเป็นไม่ขีดไฟจุดประกายให้สังคมไทยที่เฉื่อยชาต่อความเลวทรามของรัฐบาลได้กระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง ส่วนจะจุดติดหรือไม่ก็ต้องไปวัดกันในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีเดิมพันเอาไว้แล้วว่าถ้าคนไม่ถึงหลักพันก็เท่ากับไม้ขีดด้านจุดไม่ติดทุกอย่างเป็นอันจบ
ถ้าจุดติดก็จะขับไล่ยืดเยื้อชนิดเปิดหน้าชกกันเลยทีเดียว ส่วนจะนำพาไปสู่สถานการณ์ถึงขั้นเกิดการปฏิวัติรัฐประหารตามเจตจำนงของ เสธ.อ้ายหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องอีกยาวไกลและมีหลายปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นตัวตัดสิน
อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากการรัฐประหารปี 2549 ที่ต้องถือว่าไม่เพียงแต่เสียของยังกลายเป็นการเพิ่มปมปัญหาถ่างรอยร้าวในบ้านเมืองให้กว้างและลึกขึ้นจนยากจะประสาน การรัฐประหารในครั้งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่นักโทษทักษิณนำมาใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงประเทศไทย และบิดเบือนคำว่า ประชาธิปไตย จนคนเสื้อแดงหลงเชื่อ
ผ่านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มา 6 ปี การบ่มเพาะความเกลียดชังต่อทหารและการรัฐประหารตามยุทธศาสตร์ของฝ่ายนักโทษชายทักษิณ เรียกได้ว่าฉีดเข้าสู่กระแสเลือดของคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย
ดังนั้น ใครก็ตามที่หวังใช้อำนาจนอกระบบ พึ่งพาสีเขียวกับรถถังออกมายึดกุมอำนาจนั้น ต้องตระหนักด้วยว่าจะทำอย่างไรกับการปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงออกประจันหน้ากับรถถัง เพื่อรักษารัฐบาลประชาธิปไตยที่พวกเขาเลือกมา
เกมนี้ไม่เพียงแต่นำพาชาติไปเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังอาจเข้าทางนักโทษชายทักษิณ ที่ใฝ่ฝันให้เกิดการปฏิวัติโดยประชาชนด้วยคาดหวังในพลังดิบ ถ่อย เถื่อน ของคนเสื้อแดงว่าสามารถ “เอาอยู่” ส่วนบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ เลือดจะนองท้องช้าง คนเสื้อแดงจะบาดเจ็บล้มตายอีกกี่คน ไม่ใช่เรื่องที่นักโทษชายทักษิณสนใจอยู่แล้ว
เพราะในความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เป็นไปตามระบบหากฝ่ายนักโทษชายทักษิณชนะ นั่นย่อมหมายถึง ประเทศไทยจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ที่สำคัญคือในภาวะรัฐบาลกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก ทั้งจากการบริหารประเทศผิดพลาด การทุจริตมหาศาล รวมไปถึงผลกระทบจากนโยบายประชาล่มจมที่กำลังพ่นพิษให้ประชาชนได้สัมผัสด้วยตัวเองดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ “การที่รัฐบาลชุดนี้จะปฏิวัติตัวเองแล้วโยนความผิดให้ทหาร” เพื่อยึดครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ต้องมายักแย่ยักยันเรื่องแก้รัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายนิรโทษกรรมกันอีกต่อไป
ทางรอดของประเทศไทยจึงต้องอาศัยหิริโอตตัปปะ ปล่อยให้คนไทยได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงว่าประชานิยมที่กำลังจะพาชาติล่มจมเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายยุคนักโทษชายทักษิณแล้ว แต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในขณะที่ชาวบ้านจำนวนมากยังเสพติดอยู่กับประชานิยมที่ทักษิณโปรยหว่าน นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้วยังกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ทักษิณใช้หากินมาจนถึงทุกวันนี้
เชื่อเถอะว่าภายใน 4 ปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ฝีจะแตก เศรษฐกิจจะพังคามือ จนคนตระกูลชินวัตร อาจไม่มีแม้แต่แผ่นดินจะอยู่ตามรอยนักโทษชายทักษิณที่นำร่องไปก่อนแล้ว