ผ่าประเด็นร้อน
การเดินมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ หลังจากเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาหมาดๆ ได้เป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะจากภายนอก แม้แต่ภายในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเองก็จ้องมองไม่ได้ละสายตา
แน่นอนว่าด้วยแบ็กกราวนด์ของเขา และเป็นคนของตระกูล “ดามาพงศ์” ในวงการย่อมรับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังมาตลอด โดยเฉพาะกับ ทักษิณ ชินวัตร ผ่านทาง พจมาน ณ ป้อมเพชร ซึ่งนามสกุลเดิมก็คือดามาพงศ์ เป็นน้องสาวของ เพรียวพันธ์ เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องไปสาธยายอะไรให้มากความ เพราะความสำคัญมีให้เห็นอยู่แล้ว
หากพิจารณาจากเส้นทางการรับราชการของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ในเส้นทางของตำรวจ แม้ว่าจะไม่ใช่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน แต่ก็สามารถใช้พลังทางการเมืองแหวกด่านหินขึ้นมาดำรงตำแหน่งผูบัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในอาชีพได้ไม่ยาก หากตราบใดที่พรรคเพื่อไทยยังเป็นรัฐบาลและคุมอำนาจรัฐอยู่ในมือ
อย่างไรก็ดี เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว แน่นอนว่าเส้นทางเดินต่อไปก็ต้องเบนเข็มลงสู่การเมืองอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และส่วนหนึ่งของการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวาระที่ทำงานมาครบ 1 ปี แม้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมต้องปรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการวางตำแหน่งไว้รอรับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์นั่นเอง ซึ่งก็ต้องเป็นตำแหน่งสำคัญ มีผลต่อการค้ำยันรัฐบาลให้มั่นคง
การเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยดังกล่าวมันก็เหมือนกับการแสดงตัวให้เห็นว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับลงสู่สนามการเมือง แต่สำหรับเขาที่มีแบ็กกราวด์ไม่ธรรมดา ก็ย่อมมีเส้นทางที่ผิดแผกไปจากคนอื่น โดยเฉพาะในพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล สถานะของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์จึงไม่ต่างจาก “ทายาทของหุ้นส่วนใหญ่” ของบริษัท ที่ถึงเวลาต้องเข้ามาดูแลกิจการด้วยตัวเองเสียที
หากพิจารณาให้เห็นภาพคนภายนอกจะเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร อาจจะมีอิทธิพลสูงสุด เป็นคนกำหนดทิศทางทั้งในพรรคและรัฐบาล แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็น “น้องสาว” ของทักษิณ ถึงจะมีประสบการณ์การเมืองแค่ 49 วัน แม้ไร้เดียงสาเพียงใดก็ไม่มีปัญหา สามารถอยู่มาได้นานถึงปีกว่า และเชื่อว่าหากสภาพการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็เชื่อว่ายังอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันเฉพาะเส้นทางของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นาทีนี้อย่าได้แปลกใจที่จะต้องมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญ และเมื่อเดินเข้ามาแบบนี้แน่นอนว่าย่อมต้องมีการคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าว่า น่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือไม่ก็เป็นรองนายกฯควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะนี่คือ “ทายาท” ที่ถูกวางตัวไว้สำหรับขึ้นมาเป็นลำดับถัดไป และคราวนี้ก็ถึงเวลาของตัวแทนจากตระกูล “ดามาพงศ์” ออกมาอยู่ข้างหน้า แทนที่จะอยู่ข้างหลังมาเป็นเวลานาน
แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีจังหวะเวลา ต้องรอคิวอีกระยะ ขณะเดียวกัน ระหว่างที่รอก็ใช้โอกาสในการแสดงบทบาท สะสมบารมีไปพลางๆ ก่อน เพื่อรอให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัวแทนจากครอบครัว “ชินวัตร” หมดวาระในการบริหาร อย่างไรก็ดีหากเกิดอุบัติเหตุหรือไปไม่ไหว ถึงตอนนั้นแหละก็ถึงคราวของ เพรียวพันธุ์ นี่แหละที่จะถูกดันขึ้นมาเป็นตัวจริง
ขณะเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่การมาของเพรียวพันธ์ จะทำให้ “บางคน” ในพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลรู้สึกหวั่นไหวและนั่งไม่ติด หากกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่นแหละ เพราะถือว่าเป็นการ “ทับเส้นทาง” กันเต็มๆ ทั้งตำแหน่งรองนายกฯที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่าพยายามผลักดัน ยุให้ลงเล่นสนามท้องถิ่นลุ้นชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ เพราะเป้าหมายของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เชื่อว่ามุ่งไปที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีในโอกาสหน้าแล้ว และช่วงเวลาที่เป็นอยู่ ช่วงที่สะสมบารมีก็ต้องนั่งในตำแหน่งรองนายกฯ ที่คุมหน่วยงานหลักดังกล่าวนั่นแหละ
ดังนั้นถ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ นาทีนี้ก็ไม่ต่างจากการลงมาสู่สนามการเมือง เป็นตัวแทนของคนในครอบครัว “ดามาพงศ์” ตัวแทนของ พจมาน ณ ป้อมเพชร เข้ามาสู่อำนาจโดยตรง เป็นการสะสมบารมีเพื่อรอต่อคิวขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไป หลังจากหมดยุคของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในอนาคตข้างหน้า!!