เสวนา 7 ตุลาฯ แลไปข้างหน้า “มาลีรัตน์” ชี้ รัฐบาลหลอกลวงมากขึ้น แต่ลึกๆ อ่อนแอ “ปานเทพ” ชี้ 4 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่นับศาลปกครอง กระบวนการยุติธรรมยังนิ่ง ไม่มีรัฐบาลไหนสะสาง ชี้ชัดเยียวยา 7 ล้านอยุติธรรม ก้าวต่อไปต้องปฏิรูปประเทศเท่านั้น “ประพันธ์” ชี้ คำพิพากษาชี้ชัดว่าเจตนาฆ่า “บิ๊กจิ๋ว-พัชรวาท-สมชาย” ฆาตกรตัวจริง แนะให้ฟ้องเอาผิดโทษถึงประหารชีวิต
วันนี้ (7 ต.ค.) ที่บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้จัดกิจกรรม 4 ปี รำลึก 7 ตุลา เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรชนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่กำลังตำรวจสลายการชุมนุมโดยใช้ระเบิดแก๊สน้ำตา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ที่ผ่านมา โดยบนเวทีเสวนา “บทเรียน 7 ตุลา แลไปข้างหน้า...” ซึ่งมีวิทยากรรับเชิญเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 ได้แก่ นายศิริชัย ไม้งาม, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า, นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ นายประพันธ์ คูณมี ดำเนินรายการโดยนางสาวรัตน์ติกร จารุเกษตรวิทย์
นายศิริชัย กล่าวว่า บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คือ ความกล้าหาญและเสียสละของพันธมิตรฯ ต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ทุจริตคอร์รัปชัน และเข้าสู่อำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน สิ่งที่เห็นคือ การตื่นตัวของประชาชนเพื่อตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งการชุมนุมตลอด 193 วัน ยอมรับว่าเป็นไปด้วยความลำบาก แต่สิ่งที่ได้รับคือ ความรักความสามัคคีของพี่น้องพันธมิตรฯ อย่างไม่มีจืดจาง แม้จะมีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมครั้งนั้นถึง 11 คน แต่ก็ไม่ลืมผู้บาดเจ็บทั้งทุพพลภาพ สูญเสียแขนขา หรือบาดเจ็บต่างๆ รวมทั้ง นางรุ่งทิวา ธาตุนิยม ที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ในขณะนี้
นางมาลีรัตน์ กล่าวว่า 4 ปีที่ผ่านมา เท่าที่เห็นในส่วนของรัฐบาล และอำนาจเผด็จการกลับหลอกลวงมากยิ่งขึ้น และแผ่อำนาจไปเกือบทุกจุด แต่จะเห็นว่า มีคนที่รักชาติ รักประชาชน และมีแนวคิดคล้ายกัน เหมือนกันไม่น้อย ป.ป.ช.ก็ชี้มูลความผิดแล้วว่าเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ เป็นการละเมิด พอไปศาลปกครองกลาง ก็ชัดยิ่งขึ้น คำตอบโต้ต่างๆ ที่ว่ามาสามารถโต้ได้ทุกประเด็น คำวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง 84 หน้า ทำให้เราเห็นเป็นแนวทางในการสู้คดีของพวกเราด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแกนนำพันธมิตรฯ ถูกฟ้องคดีอาญาในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ด้วย ซึ่งยังสู้คดีกันอยู่ ซึ่งคำวินิจฉัยศาลปกครองกลางจะเป็นข้อต่อสู้ในการต่อสู้คดี เป็นการสะสมกำลังใจและแต้มแห่งชัยชนะ แม้จะล่าช้าและอึดอัดก็ตาม
ทั้งนี้ เห็นว่า อำนาจรัฐเริ่มเข้มแข็งขึ้น หลอกลวงมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน โดยพื้นฐานอำนาจรัฐอ่อนแอลง โดยยกบทเรียนจากอุดรธานี การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่ผู้สมัครจากกลุ่มคนเสื้อแดงกลับพ่ายแพ้ ต่อมาการเลือกตั้ง อบจ.อุดรธานี ต้องเพิ่มสรรพกำลัง แม้จะได้รับชัยชนะแต่ในเขตเมืองกลับแพ้คะแนน ซึ่งจะเห็นได้ว่า อำนาจรัฐโดยพื้นฐานอ่อนแอลงจริงๆ แต่ที่เราต้องระวัง คือ วิทยุชุมชน ใครที่มีวิทยุชุมชนเครือข่ายในต่างจังหวัด พวกเราอย่าเพิ่งไปทำอะไรทั้งนั้น ออกอากาศเหมือนเดิม ถ่ายทอดรายการเอเอสทีวีและเอฟเอ็มทีวี กรณีเกิดเหตุอะไรจะช่วยเราได้เยอะ เพราะวันนี้อันธพาลใช้วิทยุชุมชนช่วยปลุกระดม ซึ่งเราจะไม่ใช้วิทยุชุมชนทำร้ายใคร แต่จะปลุกให้มาสู้เพื่อชาติ
นายศรัณยู กล่าวว่า ในการต่อสู้ของพันธมิตรฯ มีบทเรียนมากมาย เหตุการณ์ 7 ตุลาฯ เป็นหนึ่งบทเรียนที่สำคัญ แต่บทเรียนใดๆ จะมีค่าขึ้นอยู่กับมีคนที่เข้ามาศึกษาและนำบทเรียนนั้นไปใช้ วิจัยวิเคราะห์ อันนั้นจะให้คุณค่ามาก เชื่อว่า พี่น้องพันธมิตรฯ เราได้อะไรมาก อย่างน้อยบทเรียนโดยตรง คือ เราอยู่อย่างยืนยง และไม่ทำอะไรเพลี้ยงพล้ำ ขณะเดียวกัน อาจมีบางคนที่ไม่สนใจ เห็นบทเรียนนี้แล้วมองข้ามไป อีกด้านหนึ่งมีคนที่คิดต่างกับเรานำบทเรียนนี้ไปใช้เพื่อที่จะหาวิธีการเผชิญหน้าในรูปแบบที่ไม่เกิดเพลี่ยงพล้ำ ซึ่งเหตุการณ์นี้ให้อะไรกับคนหลายฝ่าย ให้คุณค่ากับเราว่าต่อไปนี้คงไม่ออกไปตายเปล่าอีกแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแรงอ่อนกำลัง
ทั้งนี้ ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการต่อสู้อยู่ในความทรงจำของเราเสมอมา แม้จะเป็นเรื่องเศร้าและมีการสูญเสีย แต่ทุกครั้งที่เราได้พูดถึง ส่วนหนึ่งระลึกถึงผู้ที่สูญเสีย อีกส่วนหนึ่งเราภาคภูมิใจในส่วนที่เราเสียสละ ในวันนั้นจนถึงวันนี้ ซึ่งจะผูกเกี่ยวเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็ง มุ่งมั่นเพื่อสังคม ประเทศชาติ และสถาบัน ในส่วนของ 7 ตุลาฯ จะมีค่าหรือไม่ก็แล้วแต่ประชาชนประเทศนี้ สังคมนี้ ผู้บริหารประเทศนี้ จะมองเห็นแง่มุมไหน และจะนำไปใช้หรือไม่ เพื่อไปพลิกแพลงหาวิธีการที่แยบยลกว่านี้ เขาก็ต้องเจอกับเราวันยังค่ำ ในวันที่เราฉลาดยิ่งขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นายปานเทพ กล่าวว่า นอกจากน้องโบว์ หรือ นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และสารวัตรจ๊าบ หรือ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี แล้ว ยังมีอีกสิบชีวิตที่เสียสละชีวิต ถ้าไม่มีคนเหล่านั้น ประเทศไทยคงไม่มีวันนี้ ในคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่เรารอมาครบ 4 ปี เป็นคำพิพากษาที่ได้บอกอย่างชัดเจนว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกประการ ประการที่ 2 เป็นที่ปรากฏอย่างชัดเจนว่า พันธมิตรฯ ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธชัดเจน ถึงขนาดระบุในคำพิพากษาว่ามีประชาชนนับหมื่นคน หากพันธมิตรฯ ลุกขึ้นสู้ตำรวจก็ไม่สามารถทัดทานได้ถ้าจะใช้ความรุนแรง
ประการที่ 3 เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า เมื่อพันธมิตรฯ ปฏิบัติตามหน้าที่ สิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้ว ตำรวจเป็นผู้กระทำเกินกว่าเหตุ ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุกับประชาชน ซึ่งตนอยากให้อ่านคำพิพากษาทุกบรรทัด เช่น หน้า 61 อาวุธที่ตำรวจนำมาใช้ล้วนแล้วแต่อาวุธอันตรายโดยสภาพนำมาใช้สลายการชุมนุม โดยไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวชัดเจน ประการที่ 4 สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าไม่นับกระบวนการศาลปกครองแล้ว 4 ปีผ่านไป กระบวนการยุติธรรมยังไม่เดินหน้าเอาผิดอาญากับผู้กระทำความผิดในครั้งนี้
ทั้งนี้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตั้งแต่ปี 2552 บัดนี้ผ่านมาถึงปี 2555 อัยการยังแช่เรื่องอยู่ ยังไม่ฟ้องศาลแม้แต่คดีเดียว ย่อมแสดงให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมขาดความเป็นธรรม กรณีที่อัยการสั่งให้ศาลพิจารณา ชี้มูลว่า นายพัน คำกอง โชเฟอร์แท็กซี่คนเสื้อแดง เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ในเหตุการณ์ที่ทหารสลายการชุมนุม เกิดขึ้นปี 2553 แต่เหตุการณ์น้องโบว์เกิดวันที่ 7 ต.ค.2551 ไม่มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ว่า เป็นการตายโดยเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างไร แทนที่จะมีกระบวนการให้ความเป็นธรรมตั้งแต่ปี 2551 ปัจจุบันผ่านมาถึง 2 รัฐบาล ไม่มีรัฐบาลไหนสะสาง ซ้ำร้ายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยังเป็นต้นคิดในการดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯ เสียอีก
ประการที่ 5 เราได้รับบทเรียนที่มีค่าว่า นับตั้งแต่พันธมิตรฯ ชุมนุมปี 2549 ในปี 2551 เราได้รัฐบาลที่ไม่ใช่ฝ่ายทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการรัฐประหาร หรือการย้ายขั้วอำนาจที่เป็นปัญหาในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีรัฐบาลชุดไหนให้ความเป็นธรรมกับพันธมิตรฯ และไม่ได้ตอบโจทย์ในการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งอยากให้ทุกคนได้เห็นว่า พันธมิตรฯ ซึ่งให้โอกาสทุกขั้วอำนาจแล้ว บัดนี้บทเรียนจาก 7 ตุลาฯ สอนให้เรารู้ว่าประชาชนต้องสู้เพื่อประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อขั้วอำนาจ และหวังว่า จะมีขั้วอำนาจไหนมาให้ความหวังกับประชาชนได้ การปฏิรูปประเทศไทยต้องลุกขึ้นยืนด้วยความหวังของประชาชน ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่ลุกขึ้นยืนเพื่อแสวงหาอำนาจส่วนตน เราได้รับบทเรียนที่มีค่า ไม่มีประชาชนในวันนั้น เราไม่มีบทเรียนที่มีค่าถึงวันนี้ ประเทศก็ไม่ล่มสลายแล้วก็ไม่ถูกทำลายในวันนั้น แต่วันนี้สถานการณ์จาก 7 ตุลาฯ ประชาชนเป็นผู้ค้ำจุนประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคม
ประการที่ 6 จากคำพิพากษาศาลปกครองสะท้อนให้เห็นว่า การเยียวยาที่จ่ายคนละ 7 ล้านบาท โดยรัฐบาลนั้น เป็นการจ่ายที่อยุติธรรม เพราะประชาชนที่ได้รับความเป็นธรรมจากคำพิพากษาครั้งนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ชุมนุมที่เป็นพันธมิตรฯ มีสิทธิ์ได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้องชอบธรรมทุกประการ แต่จะเอาความบริสุทธิ์ของประชาชน ของพันธมิตรฯ จะไปปะปนกับกลุ่มก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมืองไม่ได้ เพราะฉะนั้น การอ้างโดยไม่พิสูจน์ความจริง และใช้การเยียวยานั้น คือ ความอยุติธรรมต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยสรุปทั้ง 6 ประการก็คือ ก้าวของพันธมิตรฯ ต่อไป คือ การก้าวเพื่อปฏิรูปประเทศไทยเท่านั้น
นายประพันธ์ กล่าวว่า ที่เรามารำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลาในครั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ว่า เราไม่เพียงมารำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ เหตุการณ์เดียว แต่เรามารำลึกประวัติศาสตร์การรำลึกของพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหมดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ไม่ใช่ต่อสู้กับระบอบทักษิณเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการต่อสู้กับระบอบการเมืองที่ล้มเหลว ซึ่งไม่ว่าพรรคไหนก็โกงกินและพึ่งไม่ได้ มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่พึ่งพากันเอง และเสียสละเพื่อบ้านเมือง และมีพันธมิตรฯ และประชาชนที่รักชาติ รักความเป็นธรรมเท่านั้นที่ไม่ยอมจำนนต่อระบอบการเมือง จึงร่วมออกมาต่อสู้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นพลังประชาชนอันบริสุทธิ์ กล้าหาญ เสียสละ แสดงออกถึงความรักชาติบ้านเมืองโดยแท้จริง โดยไม่ได้คำนึงถึงชีวิตและผลประโยชน์ของตนเองแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ เหตุการณ์ 7 ตุลาฯ เราได้บทเรียนหลายอย่าง แต่เหตุการณ์นี้มันทำให้แยกกันออกระหว่างดีกับชั่ว ผิดกับถูก ระหว่างการชุมนุมโดยสงบและการชุมนุมโดยอันธพาล จลาจลเผาบ้านเผาเมือง เป็นเหตุการณ์รูปธรรมที่ขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนระหว่างความเป็นเหลืองกับความเป็นแดง ซึ่งการชุมนุมของพันธมิตรฯ ศาลรับรองแล้ว และแสดงให้เห็นว่า ถ้าพวกเรามากันเป็นแสนไม่รักสงบ จะกระทืบตำรวจ 2 พันกว่าคน ก็แหลกละเอียดไปแล้ว แต่เราไม่ทำ เพราะเรายึดหลักสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ สงบ และเคารพกฎหมายของบ้านเมือง และจะเป็นแบบอย่างการชุมนุมที่ถูกกฎหมาย
บทเรียนต่อมา คือ ความยุติธรรมไม่ได้มาด้วยการอ้อนวอนร้องขอ แต่ได้มาด้วยการต่อสู้ของพวกเราล้วนๆ กว่าศาลจะตัดสิน กว่าความยุติธรรมจะปรากฏ พวกเราต้องต่อสู้ด้วยความเหนื่อยยากลำบาก มีความจริงเป็นอาวุธ มีจิตใจกล้าหาญเสียสละเป็นเครื่องนำทาง มีกฎหมายและความยุติธรรม ความถูกต้องเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เราจึงสู้มาได้ถึงทุกวันนี้ และคดีนี้ตำรวจไม่ได้ทำอะไรเลยในกระบวนการยุติธรรม และการเข้าปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้หลักฐานชี้ชัดว่าขนอาวุธมาโดยเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือ ฆาตกรตัวจริง และศาลชี้ว่า เป็นการสลายการชุมนุมโดยเจตนาเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งจะใช้คำพิพากษานี้ฟ้องโดยข้อหาดังกล่าว ซึ่งจะต้องรับโทษโดยประหารชีวิต