“นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ยืนยันยังไม่ปรับ ครม.หลัง “ยงยุทธ” ลาออก เพื่อให้ทำงานต่อเนื่อง เล็งกระจายงานให้รองนยกฯ คนอื่นดูแล ส่วนมหาดไทยมอบ 2 รัฐมนตรีช่วยรับไม้ต่อ ไม่การันตีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะได้เข้าร่วม ครม.หรือไม่ ต้องดูความเหมาะสม และตำแหน่งที่ว่าง รับเสียดายและชื่นชมความเสียสละของ “ยงยุทธ”
ที่ห้องรับรอง (วีไอพี) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเดินทางกลับจากประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 67 ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ถึงการลาออกจากของนายยงยุทธจากรองนายกรัฐมนตี และรมว.มหาดไทย หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีที่ดินอัลไพน์ และคณอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) มีมติให้ไล่ออกจากราชการว่า วันนี้งานที่นายงยุทธเคยดูแลอยู่ใน 2 ส่วน จะกระจายงานมอบหมายให้รองนายกฯ คนอื่นดูแล ส่วนงานในกระทรวงมหาดไทย ก็ให้ รมช.มหาดไทยอีก 2 คน ท่านดูแล ทั้งนี้จะต้องมีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่จะเข้ามาปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เสียดายความรู้ความสามารถของนายยงยุทธ เพราะที่ผ่านมาได้ช่วยเหลืองานรัฐบาลมาอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันขอชื่นชมในความเสียสละที่ตัดสินใจลาออกเพื่อไม่ให้เกิดความกังวลใจ
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะยังไม่มีการปรับ ครม.อย่างแน่นอน เพราะเป็นช่วงที่รัฐบาลต้องเร่งทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงให้แผนงานที่กำลังลังดำเนินการได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเรื่องของตำแหน่ง ส.ส.จะมีปัญหาตามมาหรือไม่ หากมีการตีความว่าผิดรัฐธรรมนูญ นายยงยุทธกล่าวตอบว่า พูดไปก็เหมือนกับตนมาป้องกันตัวเอง อย่างกรณีของนายสัก กอแสงเรือง ที่ถูกศาลชี้ขาดว่าขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ว.ก็ไม่ส่งผลย้อนหลังต่อการทำหน้าที่ที่ผ่านมา เมื่อทำงานไปจนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งก็ถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ของนายสักที่แล้วมาในอดีตก็ถูกต้องหมด แต่หลังจากที่ศาลมีคำสั่งแล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ศาลก็ไม่ได้เอาผิดต่อคณะกรรมการกลั่นกรองในการเลือกนายสักมาเป็นหลักของกฎหมายในรัฐธรมนูญด้วย
ต่อข้อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าการลาออกครั้งนี้ไม่ได้เกิดแรงกดดันของแกนนำสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ในพรรคเพื่อไทย นายยงยุทธกล่าวว่า ไม่ได้ยืนอย่างเดียว จะยันยังไงก็ได้ทุกรูปแบบว่าพรรคที่ตนอยู่ ไม่ใช่พรรคที่จู่ๆ จะไปบังคับคนนั้นคนนี้ ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้นตั้งแต่พรรคไทยรักไทย มาจนกระทั่งพรรคพลังประชาชน และมาพรรคเพื่อไทย ก็จะมีสภาพที่เป็นพรรคการเมืองที่พี่น้องประชาชนนิยมไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย แต่ทีนี้ภายในพรรคถ้าพวกเราสังเกตดูให้ดีเวลาพูดก็จะไปกันคนละทิศคนละทาง เพราะนั่นคือว่างดงามของพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อเวลาที่มีมติก้จะมีมติไปในทิศทางเดียวกัน
“ถ้าผมถูกบังคับจะมานั่งอยู่บนนี้ทำไม ก็ไปแฉโพยกับสื่อว่าถูกบังคับ ผมไม่ได้อยากออกเลย ผมอยากอยู่ ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ บังคับผม ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ ผมอยู่ในพรรคถึงไม่มีตำแหน่งใดก็ตามเป็นสมาชิกธรรมดา และหากบอกว่าเป็ยสมาชิกธรรมดาไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายก็จะเป็นพลเมืองที่มานั่งอยู่ที่พรรค จนกระทั่งผมเดินไม่ไหว แล้วอย่างนี้หรอสภาพของผมที่ถูกบังคับ ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านายกฯ ไม่ต้องออกปาก ผมทำให้ และถ้าท่านออกปากผมยิ่งทำสุดชีวิต แล้วนี่หรอคือสภาพของคนที่ถูกบังคับ”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้เหมือนจะมีแรงกระเพื่อมภายในพรรคให้มีการปรับ ครม. นายกฯ ย้อนถามว่าทำไม ผู้สื่อข่าวกล่าวว่าจะดูแลปัญหานี้อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามที่บอกไปว่าตำแหน่ง ครม.ต้องพิจารณาตามความสามารถด้วยไม่ใช่เป็นเรื่องของการแบ่งหรือจากการวิ่ง ความคิดเห็นเรารับ เคารพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของแต่ละผ่าย แต่การตัดสินใจอย่างไรนั้นต้องอยู่ในความเหมาะสม ดูช่วงเวลา ดูตำแหน่ง ผู้ที่จะมารับผิดชอบด้วย
“แม้แต่ในกลุ่มของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เองก็ตาม เราเองก็บอกแล้วว่า แต่ละคนมีความสามารถ โดยเฉพาะในกลุ่ม 111 ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์เยอะ ผ่านงานการเมืองมาเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ที่องค์ประกอบที่ว่าบุคคลนั้นสมัครใจ ซึ่งบางคนก็พร้อมจะมาช่วยงานพรรคบ้าง งานสังคมบ้าง หรือบางท่านก็พร้อมที่จะพักอยู่บ้าน ก็แล้วแต่ รวมถึงตำแหน่งว่ามีเก้าอี้ว่างหรือเปล่า ความสามารถตรงกันหรือเปล่า ไม่ได้เป็นปัจจัยว่ามีทั้งหมดแล้วต้องรับพิจารณาทั้งหมด จริงๆ แล้วเราเองต้องบอกว่าทุกท่านสมาชิกพรรคและทางด้าน 111 ได้ดูแลช่วยเหลือพรรค ประชาชนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะบทบาทไหน สำหรับตนก็พร้อมเปิดรับ แต่วันนี้ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ วันนี้เอาในเรื่องของงานที่จะทำในส่วนของกระทรวงมหาดไทยก่อน”
ผู้สื่อข่าวรายงาน ได้พยายามที่จะสอบถามความชัดเจนเรื่องปรับ ครม. นายกฯ กล่าวพร้อมยิ้มว่า “อะไรยังไมได้บอกอะไรเลย พอแล้ว ไปทำข่าวได้แล้ว พอแล้ววันนี้พูดเยอะแล้ว”
จากนั้นระหว่างที่นายยงยุทธเดินมาส่งนายกฯ ขึ้นรถยนต์เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านพัก ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนายยงยุทธอีกครั้ง โดยถามว่าเมื่อคืนนอนหลับสบายดีใช่ไหม นายยงยุทธกล่าวยิ้มแย้มว่า นอนหลับสบาย ยังหล่อเหมือนเดิม จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าทันทีที่ได้เจอนายกฯ ประโยคแรกที่นายกฯ พูดคืออะไร นายยงยุทธได้แต่ยิ้ม และไม่ได้กล่าวอะไร
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ประกาศลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่งว่า ถือเป็นสิ่งที่น่ายกย่องชมเชย เพราะเมื่อเห็นว่ายังมีข้อขัดแย้งทางกฎหมายจึงประกาศลาออก เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อไปอย่างราบรื่น ซึ่งในทางการเมืองบางครั้งก็ต้องพึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ถือเป็นการเล่นเพื่อทีม และปิดหนทางที่ฝ่ายค้านจะขยายผลโจมตีทางการเมือง
“การลาออกครั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีการกดดันจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอดจนแกนนำพรรค หรือมวลชนของพรรคกลุ่มใดๆให้ลาออก แต่เป็นการลาออกด้วยสปิริตล้วนๆ และต้องให้ฉายานายยงยุทธ ตรงข้ามจากปีที่แล้วใหม่ว่า “ทักษิโด้โชว์เหนือ” ตั้งแต่การยื่น กกต.สอบคุณสมบัติความเป็น ส.ส.ของตัวเอง ที่ฝ่ายค้านยังงง เปิดตำรารับไม่ทัน ถือเป็นการแสดงสปิริตที่สง่างาม เป็นการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองขึ้นมาใหม่ ผมจึงอยากให้ฝ่ายค้านนำไปเป็นแบบอย่างด้วย เพราะมีคนถูก ป.ป.ช.ชี้มูลเหมือนกัน ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยิงคนตายยังทำหน้าที่ในสภาได้ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค มักอ้างเรื่องสปิริต จริยธรรม อ้างเรื่องความรับผิดชอบว่า ความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ผิดกับกรณีนายยงยุทธ ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตีความแล้วว่าความผิดดังกล่าวเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน ปี 2550 และเห็นว่านายยงยุทธเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม ที่จะทำหน้าที่ต่อไปได้ แต่นายยงยุทธก็ได้แสดงสปิริตทางการเมืองด้วยการลาออก”
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวด้วยว่า สำหรับการรักษาการในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยนั้น ฝ่ายค้านไม่ต้องรอลุ้นว่าจะเกิดผลกระทบ แรงกระเพื่อมใดๆ ในพรรคเพื่อไทย แล้วหวังจะเก็บส้มหล่น เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่นายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียวว่าจากนี้ไปจะดำเนินการบริหารจัดการอย่างไร บุคลากรทางการเมืองของพรรคทุกคนมีวินัย รัฐบาลยังมีความพร้อมและมั่นใจ ที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติต่อไป