โหมโรงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ หลังจากเวลางวดใกล้เข้ามาทุกทีๆ ชาวกทม.เริ่มเห็นตัวผู้สมัครกันบ้างแล้ว อย่างรายของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวช อดีตผบ.ตร. ที่ประกาศตัวลงก่อนใคร ไม่สังกัดค่ายใดทั้งสิ้น
แม้ดูทะมัดทะแมง หน่วยก้านดี แต่คนกทม.ฟันธงล่วงหน้า เป็นได้เพียงไม้ประดับ ไม่ใช่ตัวเต็งเข้าวิน เพราะแคนดิเดตที่เป็นข่าวจะลงอีก 4-5 คน ล้วนดูดีมีภาษีกว่า ทั้งจากฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาธิปัตย์
กระนั้นถึงชั่วโมงนี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่งขุนพลคนไหนลงสู้ศึกที่ใหญ่ยิ่งและหนักหนาสาหัส เพราะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
หากแพ้เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์สิ้นเนื้อประดาตัวแล้วทุกสิ่งสำหรับเส้นทางการเมือง แพ้ราบคาบทั้งสนามใหญ่ สนามเล็ก หมดยุคพระแม่ธรณีบีบมวยผม และมันอาจจะมีผลผูกพันไปถึงสนามเลือกตั้งใหญ่ จำนวนส.ส.ที่เคยได้มาเป็นกอบเป็นกำอาจหายวับไปกับตา
เรื่องตัวผู้สมัครก็ดูเหมือนว่ายังคิดกันไม่ตกจะส่งใคร แต่ละชื่อมีดีกรีไม่แพ้กัน คุณชายสุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. กรณ์ จาติกวานิช และองอาจ คล้ามไพบูลย์ ดี เด่น ดัง ไปคนละอย่าง
แต่ “คุณชายไวน์เลิฟเวอร์” นั้นแสดงท่าทีชัดเจนว่า ยังอยากลงชิงตำแหน่งนี้ต่อ เพราะเชื่อมั่นเต็มอกว่าคนกทม.น่าจะยังเอาตัวเองไว้ทำยาเหมือนเดิม แต่ทว่าคนในพรรคประชาธิปัตย์จำนวนไม่น้อยมองว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ผลงานที่ไม่เข้าตา ทำคนกทม.ร้องยี้
หันไปเทน้ำหนักใจ “กรณ์” มากกว่า
แต่น่าคิดหนักตรงที่ว่าหากประชาธิปัตย์ ไม่ส่งลงสมัครอีกครั้ง คุณชายประกาศจะลงสมัครในนามอิสระ ทำให้หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับมาตัดคะแนนกันเอง แกนนำพรรคประชาธิปัตย์จึงยังมืดแปดด้าน หาทางออกไม่เจอ แค่ตัวผู้เล่นยังจัดไม่ลงตัว เรื่องแผนนโยบายคงยังไม่มีเวลาคิด
หันมาดูฟากฝั่งผู้ท้าชิง อย่างพรรคเพื่อไทย ที่ดูเหมือนจะเป็นต่อ สบายๆ ไม่กดดัน ลงชิงชัยในฐานะไก่รองบ่อน พยายามเล่นเกมจิตวิทยาโยนความกดดันไปให้ฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะความขัดแย้งแก่งแย่งภายในมีอยู่ตลอด เรื่องฟัดแย่งชามข้าวถนัดกันเหลือเกิน
บรรดาขุนพลกทม.รู้กันดีว่า ไม่กินเส้นกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะโซนตะวันออกของนางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ กับโซนฝั่งธนฯ ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไร ขับเคี่ยวแย่งชิงกันเข้าสู้ศึกครั้งนี้
ขุนพลฝั่งธน หวังกินสองต่อเข้าฮอส ด้วยการผลักดันพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ที่ใกล้หมดอายุราชการในอีกไม่กี่วันนี้ลงแข่ง เพราะรู้ดีว่าหากเป็นคนนี้ “เจ๊หน่อย” คงไม่กล้ามีปากมีเสียง และยอมหลีกทางให้โดยดี สะใจสารวัตรเหลิม เพราะไม่อยากให้ “สุดารัตน์” เสนอหน้ามาลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.
คนไม่ชอบหน้ากันอะไรๆ ก็เกลียดไปหมด นอกจากนี้การหนุนให้ “เพรียวพันธ์” ลงผู้ว่าฯ กทม. ยังเป็นการเตะคู่แข่งที่ทับไลน์กันในการเมืองสนามใหญ่ออกไป เก้าอี้รองนายกฯดูสตช. ก็มั่นคง สบายๆ
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า “บิ๊กอ๊อฟ” จะเอาอย่างไร ?
แต่รายของ “สุดารัตน์” นั้นเอาแน่ ตอนนี้กำลังวางฟอร์มทำทีว่าไม่เอา ไม่เอา แต่อยากลงใจจะขาด คนอย่างสุดารัตน์เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ เอา เคยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า คนอย่างเจ๊ฝันใหญ่ใฝ่สูง อยากนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อผิดหวังจึงออกอาการเบื่อโลกนิดๆ ไม่อยากนั่งตำแหน่งไหนอีกแม้แต่รัฐมนตรี
แต่เมื่อจะหวนกลับมา ก็เห็นลู่ทางว่าตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.นั้นน่าสน เพราะถือเป็นการบริหารแบบเอกเทศ ไม่ขึ้นตรงกับใคร และที่น่าสนใจที่สุดคืองบประมาณมหาศาล จึงไม่เสียหายหากได้นั่งเก้าอี้นี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าลงสมัครแล้วต้องได้เท่านั้น นี่สิที่ต้องคิดหนัก ไม่งั้นหน้าแตกแหกเป็นริ้ว
ครั้นพอเหลือบไปมองขุนพลมือสอง ไล่เรียงรายชื่อดูเด็กในคาถา หากสุดารัตน์ ไม่ลงสมัครเอง บรรดาทีมงานหวานใจที่พอจะไปวัดไปวาได้หนีไม่พ้น น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที หรือ ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย แต่ที่สุดแล้วชั่งตวงวัดอย่างไร ดีกรีก็ยังไม่ถึงขีด
“Eหน่อย” ของ “เหลิม บางบอน” จำต้องลงเล่นเกมนี้เองเป็นแน่แท้ ใช้สนามเล็กเพื่อเติบใหญ่ในอนาคตข้างหน้า ดีกว่านั่งขยับแว่นอยู่เปล่าๆ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นนายกฯ สมใจอยากหากโอกาสประจวบเหมาะ ใช้สนามนี้สั่งสมบารมีก่อน เป็นหนทางที่คิดแล้วว่ามันเป็นคำตอบสุดท้าย
กระนั้นก็ต้องไปวัดใจฟาดฟันแย่งโควตากันในพรรคให้สะเด็ดน้ำก่อน เพราะชั่วโมงนี้แคนดิเดต ยังมีหลายคน ทั้ง ปลอดประสพ-กิตติรัตน์-เพรียวพันธ์
อย่างไรก็ดี เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในพื้นที่คนกรุงที่อ่อนไหวต่อกระแส พิจารณากันในหลายแง่มุม ปัจจัยรอบด้านอื่นๆ ก็เป็นส่วนผสมสำคัญไม่แพ้กัน อย่างรายชื่อทีมงาน รองผู้ว่าฯ นั่นก็นับว่าจำเป็นไม่น้อย จะเป็นส่วนเติมเต็มผลักดันผู้ว่าให้เด่นชัดเรียกคะแนนทางอ้อมได้มากโข
อย่างรายของธีรชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ชั่วโมงนี้ ก็สร้างบทบาทเด่นให้ทั้งตัวเอง และกทม.โดยรวม แต่มันก็แล้วแต่ว่าคนกทม.จะตีความไปในทางดี หรือเลว
ตำแหน่งรองผู้ว่าที่หลายคนจับตาตามข่าวว่าจะมาลงสมัครเป็นทีมงานของประชาธิปัตย์คือ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ มือปราบหูดำ ที่ตัดสินใจลาออกจากราชการ หลังถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานรีดเงินพนันจากผู้ต้องหา
แม้เรื่องราวการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นสะเด็ดน้ำ “วิชัย” กลับเปิดแถลงข่าวชิงลาออกก่อน นัยหนึ่งก็คิดได้ว่าเรื่องนี้มีมูลเป็นความจริง อีกนัยหนึ่งก็เป็นไปตามที่แสดงออกว่ารับไม่ได้เหมือนชีวิตราชการถูกย่ำยีจนเสียชื่อเสียง
น่าสนใจว่าเมื่อ “วิชัย” ลาออกแล้ว คดีนี้ จึงกลายเป็นคดีติดค้าง เมื่อคนถูกสอบสวนไม่มีตำแหน่ง ลาออกไปแล้ว ก็จบๆ กันไป ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เพราะถือว่าพ้นตำแหน่งไปแล้ว
การแสดงออกด้วยลีลาเยี่ยงนี้ มันก็เข้าเค้ากับที่คนนินทาให้แซดว่า มีเป้าหมายเล่นการเมืองนานแล้ว และคาดการณ์ว่าจะลงเป็นทีมงานรองผู้ว่าฯ เจ้าตัวเองทราบดีถึงชื่อเสียงศักยภาพตัวเอง จึงไม่ห้าวหาญ ถึงขั้นลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. แบบ “เสรีพิศุทธิ์”
แต่ไอ้ที่คิดว่าจะไปลุยกับทีมตำรวจด้วยกันอย่าง “เสรีพิศุทธิ์” นั้นก็เป็นไปได้ยาก เพราะเข้ากันไม่ได้ การทำงานในวงการสีกากีก็อยู่คนละไลน์กัน ยุคที่เสรีพิศุทธิ์ เรืองอำนาจ “วิชัย” นั้นตกอับ ตกต่ำสุดๆ โดนเด้งโดนย้ายไปนั่งรองผู้การจังหวัดบุรีรัมย์นู่นเลย
จะไปอยู่พรรคเพื่อไทย ก็ใช่เรื่อง เพราะเพิ่งถูกเด้งถูกย้ายอย่างไม่ใยดี ฉะนั้นไปเป็นทีมงานรองผู้ว่าฯ ของพรรคประชาธิปัตย์คือคำตอบสุดท้าย
ใครหลายคนชื่นชมฝีมือการทำงานของ “วิชัย” เมื่อครั้งเป็นมือปราบ และตอนคุมม็อบ การได้มาเป็นทีมงานเสริมแกร่ง ในทีมรองผู้ว่าฯ ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบ ได้ “มือปลิดวิญญาณ” ไปเสริมทัพให้ตัวเองแล้ว !!