ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น กรณีสั่งดีเอสไอระงับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการ ตำแหน่งพนักงานสอบสวน เหตุออกคำสั่งไม่สอดคล้องบทบัญญัติกฎหมาย พร้อมส่งสำนวนคืนศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง
วันนี้ (28 ส.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาสั่งระงับ การออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษและตำแหน่งเจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษตามประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกลงวันที่ 15 ส.ค. 54 ของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาดำเนินการตามบทบัญญัติกฎหมายหรือระเบียบต่อไป
ทั้งนี้ การมีคำสั่งดังกล่าวสืบเนื่องมาจากเมื่อปี 2554 นายพลพิพัฒน์ เอกจิตต์, นายสมเกียรติ เพชรประดับ พร้อมพวกรวม 31 คน ได้ยื่นฟ้องอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ต่อศาลปกครองชั้นต้นขอให้เพิกถอนประกาศเรื่องรับสมัครคัดเลือกข้าราชการที่จะเข้ารับการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนระดับและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษจำนวน 60 ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษจำนวน 24 ตำแหน่ง และประกาศเรื่องการรับสมัครคัดเลือกและประเมินความรู้ความสามารถข้าราชการเพื่อย้ายเปลี่ยนสายงานและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษจำนวน 20 ตำแหน่ง รวมทั้งเพิกถอนรายชื่อข้าราชการผู้ผ่านการคัดเลือกจากประกาศดังกล่าว และคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าการออกประกาศคัดเลือกข้าราชการดังกล่าวไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย การสอบไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม โดยศาลปกครองชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำสั่งพิพากษาสั่งระงับคำสั่งแต่งตั้งฯ ดังกล่าวของดีเอสไอ
แต่ต่อมา อธิบดีดีเอสไอ และผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเป็นผู้สอบได้จำนวน 56 คนยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด โดยผู้สอบได้อ้างว่าเป็นผู้สอบได้โดยสุจริต และผ่านการคัดเลือกของดีเอสไอที่ผ่านความเห็นชอบของกระทรวงยุติธรรม มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่งการที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งระงับการออกคำสั่งแต่งตั้งเป็นการกระทบสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง กระทบต่อการบริหารงาน บริหารงบประมาณ การวางอัตรากำลังของดีเอสไอทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนอธิบดีดีเอสไอ ก็อุทธรณ์ว่าไม่มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายต่อศาลปกครองชั้นต้นก่อนที่จะมีคำสั่งระงับคำสั่งบรรจุแต่งตั้งดังกล่าว และยืนยันว่าขั้นตอนการประกาศรับสมัคร และการสอบเป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนเหตุที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของศาลปกครองชั้นต้นระบุว่า การที่นายพลพิพัฒน์และพวกขอคุ้มครองชั่วคราว โดยให้ศาลปกครองชั้นต้นสั่งระงับการออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวไว้ก่อน ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้มีอยู่ในขณะที่นายพลพิพัฒน์และพวกยื่นฟ้อง แต่เป็นคำขอให้ระงับการกระทำที่อธิบดีดีเอสไอจะดำเนินการต่อไปหลังจากมีคำสั่งพิพาทแล้ว คำขอของนายพลพิพัฒน์จึงเป็นคำขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพกาษา มิใช่คำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี นายพลพิพัฒน์ และพวกจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งให้อธิบดีดีเอสไอระงับการออกคำสั่งบรรจุแต่งตั้งดังกล่าวได้ นายพลพิพัฒน์และพวกมีคำขอดังกล่าวศาลปกครองชั้นต้นต้องสั่งไม่รับคำขอไว้ และเมื่อไม่รับแล้ว นายพลพิพัฒน์ ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ หรือหากศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดีไม่มีคำขอก็ได้ แต่ก็ต้องเป็นคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนเท่านั้น
แต่ในคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่สั่งให้อธิบดีดีเอสไอระงับการออกคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น เนื้อหาของคำสั่งเป็นคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย กรณีจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบในส่วนที่เกี่ยวกับการทำคำพิพากษษหรือคำสั่ง ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่ามีเหตุอันสมควรที่จะยกคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาดำเนินการใหม่ต่อไป ตามข้อ 112 วรรคหนึ่ง (1) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง