“ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์ นสพ.ไทย ระหว่างเยือน แอล.เอ.แถเหยียบมะกันได้เพราะส่งผู้ร้ายข้ามแดนไม่เกี่ยวคดีการเมือง ยันไม่มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยน “อัมสเตอร์ดัม” ไม่เกี่ยว เย้ยฝ่ายค้านกลัวปรองดองสร้างให้เป็นผี แต่กลับกลัวผีเอง โอด “สนธิ-พธม.” ยังต้านตนอย่างนี้แล้วจะปรองดองกันได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. เว็บไซต์สยามทาวน์ยูเอส ดอต คอม ของหนังสือพิมพ์สยามทาวน์ยูเอสรายสัปดาห์ ได้ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์พิเศษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน ในช่วงที่เดินทางมายังเมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 ส.ค.ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับประทานอาหารเช้า กับ มิสเตอร์ลี ซึ่งเป็นเพื่อนชาวเกาหลี และคนใกล้ชิดที่โรงแรมเดอะ เพนนินซูลา เบเวอร์รี ฮิลส์ ซึ่งเป็นที่พักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด 4 วัน โดยประสานงานผ่านทางนายนภดล วงศ์ชัยวัฒน์ นักธุรกิจไทยในสหรัฐฯ เจ้าของสถานีโทรทัศน์ไอพีทีวี
เริ่มต้น พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบคำถามถึงปัญหาสุขภาพของตนเอง ว่า เรื่องที่ตนเองไม่สบาย เป็นมะเร็งจะเสียชีวิตแล้ว เป็นเพียงข่าวลือเพื่อให้ตนเองท้อใจ ซึ่งเห็นว่า น่าจะอยู่กันอย่างสร้างสรรค์มากกว่านี้ เมื่อถามว่า ได้วีซ่าเข้าสหรัฐฯ อย่างไร มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า สนธิสัญญาในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนยกเว้นคดีการเมือง คดีที่เกี่ยวกับการเมือง และอ้างว่า คดีของตน ตัดสินโดยศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมือง ซึ่งก็คือการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ และอ้างว่า ประเทศไทยเป็นภาคีร่วมของสหประชาชาติที่จะไม่รับศาลเดียว เมื่อใช้ศาลเดียวตัดสินแล้วบอกให้ประเทศอื่นดำเนินการด้วย เขาก็รับไม่ได้
“ที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องของการขอความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลด้วยกัน รัฐบาลที่แล้ว ต้องยอมรับว่า เขามองเห็นผมเป็นศัตรู ก็เลยพยายามไปขอความร่วมมือเขาไปทั่วไปหมด เขาก็ไม่อยากไปมีเรื่องกับรัฐบาลในชุดนั้น เขาไม่อยากทะเลาะด้วย เขาก็ร่วมมือ เขาก็บอกผมว่าอย่าเพิ่งมาได้ไหม ก็แค่นั้นเอง และบางประเทศที่ผมเข้าไปเขาก็ไม่เคย เพราะมันไม่สามารถที่จะจับกุมหรืออะไรได้ตามสนธิสัญญา เพราะสนธิสัญญาเขายกเว้นเรื่องการเมือง เพราะฉะนั้น ไอ้ที่มาพูดกันเย้วๆ นี่คือ พูดด้วยอารมณ์ หรือพูดด้วยความที่ พูดด้วยเขลาน่ะ คือไม่เข้าใจว่ากฎหมายมันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ไม่มีหรอกครับ ไม่มีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
• อ้างมาเยือนสหรัฐฯ บอกให้รู้ว่าไปได้ทุกที่-ถูกการเมืองกลั่นแกล้ง
เมื่อถามว่า การมาเยือนสหรัฐฯ มีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนอยากมาเยี่ยม เพราะเคยเรียนหนังสืออยู่ที่สหรัฐฯ มา 4 ปี รวมทั้งบุตรชาย (นายพานทองแท้ ชินวัตร) ก็เกิดที่นั่น จึงเกิดความรู้สึกผูกพัน รวมทั้งตนมีเพื่อนฝูง รวมทั้งขอบคุณผู้สนับสนุนคนไทยที่ร่วมเคลื่อนไหวกับตน โดยระหว่างมาเยือนนิวยอร์ก ตนได้เข้าพบ นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ในสมัยริชาร์ด นิกสัน และ เจอรัลด์ ฟอร์ด ซึ่งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังพบกับนักธุรกิจจำนวนมาก ส่วนใหญ่ตนจะชวนไปลงทุนที่เมืองไทยกับสหภาพพม่า และยืนยันว่า ไม่มีผลอะไรในเชิงสัญลักษณ์
“สัญลักษณ์ก็ไม่มีอะไรครับ มีก็เพียงบอกให้รู้ว่า ผมไปได้ทุกที่ เหลือประเทศไทยที่เดียว แสดงให้เห็นว่า ทั้งโลกเขาไม่ยอมรับกับสิ่งที่ประเทศไทยทำกับผม เพราะเขามองว่าสิ่งที่ทำกับผมมันเป็นเรื่องการเมือง มันเป็นเรื่องไม่มีความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเขาถึงรับผมในทุกที่ ที่รับไม่ได้ก็คือประเทศไทย เพราะว่าการที่กลั่นแกล้งทางการเมืองจนเละเทะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เสียดาย เสียดายประเทศไทยจริงๆ ผมไม่เป็นไร ตอนนี้ผมเฉยๆ แต่ผมเสียดายประเทศไทย” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
• เย้ยฝ่ายค้านกลัวปรองดอง สร้างเป็นผี แล้วกลัวผีขึ้นมาเอง
เมื่อถามถึงเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง มีวัตถุประสงค์ล้างความผิดให้กับตนเองเหมือนอย่างที่ฝ่ายค้านหรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกล่าวหาหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ฝ่ายค้านกลัวตนอย่างเดียว ไม่รู้เพราะอะไร สร้างตนให้เหมือนกับเป็นผี แล้วกลัวผีที่ตนเองสร้างขึ้นมา ซึ่งตนไม่ใช่ผีแล้วไม่เห็นต้องกลัว ทั้งนี้ ถ้าทุกคนยอมรับกติกา ใครชนะก็ต้องยินดีกับผู้ชนะ ใครแพ้ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง คราวหน้าสู้กันใหม่ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่คู่แข่งของตน (ฝ่ายค้าน) ไม่สามารถแข่งขันในกติกาได้ พยายามทำให้ประเทศต้องเสียกติกา ตัวเองเข้าสู่อำนาจโดยระบบที่กติกาเสียหายมาทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง ต้องการจะส่งสัญญาณให้รู้ว่าหันหน้าเข้าหากัน เราทะเลาะกันมานานแล้ว มีคนที่ unfortunate (โชคร้าย) กับเหตุการณ์มาเยอะ ไม่ว่าจะตาย บาดเจ็บ พิการ หรือถูกจำคุก บางคนเป็นไทยมุงก็ถูกจำคุก 20 ปี ซึ่งเป็นอะไรที่เลวร้าย มันเลวร้ายมากแล้ว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้สั่งฆ่าเขา ตนก็เลยคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเริ่มต้นกันใหม่ คนที่ unfortunate ก็เยียวยากัน ตอนนี้ก็เริ่มกันด้วยกระบวนการเยียวยา เพื่อให้คนที่โชคร้ายต้องเสียหายไปในช่วงนั้นได้รับการเยียวยา ส่วนคนที่มีปัญหาอยู่ ก็เริ่มต้นกันใหม่ หันหน้าเข้าหากันดีกว่า เพราะประเทศเราจะได้เดินได้สักที ไม่เช่นนั้นประเทศมันเดินไม่ได้
“แต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มีความรู้สึกว่า อ้าว กลัวผมกลับ แล้วก็คิดว่าตัวเองนี่มีคนช่วย เพราะฉะนั้น ยังไงก็ไม่ติดคุกหรอก เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นต้องไปกลัวเลย อีกฝ่ายหนึ่งโดน แต่ฝ่ายตัวเองไม่โดน แต่เวลาโดนเดี๋ยวก็ร้องเอง เพราะว่ามันมีปัญหาคือว่าตัวเองทำผิดแล้วนี่ มันยกตัวอย่างง่ายๆ คนที่ทำผิด ถ้าทำผิดจริงๆ ผลสุดท้าย ความจริงก็ปรากฏนะครับ อย่างของผม ผมทำไม่ผิด เลยจนป่านนี่ ความจริงก็ปรากฏแล้วว่า ทั้งโลกเขามองเห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เขาไม่สนใจไง นะครับ ที่ผ่านมา ที่เขานี่ ก็เพราะว่ารัฐบาลที่แล้วนี่ การต่างประเทศคือการตามสกัดผมอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ทำอะไรเลย กระทรวงทั้งกระทรวงเสียงบประมาณไปปีละเท่าไหร่ ทำงานอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ทำแค่อย่างเดียว สกัดผมอย่างเดียว เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือทำให้ความเสียหายประเทศมันเยอะ พอมาถึงรัฐบาลนี้ เขาก็ถือว่าไอ้สิ่งที่มันเป็นการเมืองก็อย่าไปยุ่งกับมันเลย ทำงานไปให้บ้านเมืองดีกว่า มันก็ไม่มีอะไร” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
• คุยกับ “ยิ่งลักษณ์” เอง ยันปรับ ครม.ชุดเล็ก
เมื่อถามว่า เป็นห่วงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ตนเป็นห่วงเรื่องการทำงานภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเหมือนกับวางกับระเบิดไว้ทั่วไปหมด แต่เมื่อรู้ว่าอะไรคือกับระเบิด หลีกเลี่ยงกับระเบิดได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ห่วงผู้สนับสนุนให้บู๊ ซึ่งเราเป็นรัฐบาลบู๊ไม่ได้ ต้องเดินให้สุขุมรอบคอบที่สุด ปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายค้านไป ส่วนผลงานของรัฐบาลเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เห็นว่า รัฐบาลทำงานได้ดีเยอะมาก เปรียบเทียบกับรัฐบาลที่แล้วเทียบกันไม่ได้ ชวนทะเลาะกับคนอย่างเดียว ไม่ได้ทำงาน
สำหรับเรื่องของเศรษฐกิจ ถือว่าในสภาวะที่มีปัญหาแล้วทำได้ขนาดนี่ก็ถือว่าดีมาก แต่ว่ายังไม่ดีเต็มที่ เนื่องจากบางอย่างต้องใช้เวลา เช่น งบประมาณเราไม่ได้เป็นคนจัด ก็ต้องใช้งบประมาณเก่า งบประมาณใหม่กว่าจะออกก็ช้า เนื่องจากเข้ามาในช่วงที่ปีงบประมาณเดิมผ่านไปเยอะแล้ว มาถึงตอนนี้คิดว่าตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ รัฐบาลจะสามารถใช้งบประมาณที่ตัวเองตั้งได้แล้ว เพราะฉะนั้น ก็จะทำให้ตั้งแต่เดือน ต.ค.ทุกอย่างก็จะเคลื่อนเร็วขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนภาครัฐ
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เท่าที่ตนได้คุยกับนายกรัฐมนตรีนั้น สมาชิกบ้านเลขที่ 111 คงมีเข้าไปบ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจาก ครม.ชุดนี้หลายคนก็ทำงานกันดี คงมีผลัดเปลี่ยนบ้าง แต่ไม่มากเกินไป แต่บอกไม่ได้ว่าจะปรับรัฐมนตรีฝ่ายไหน เพราะนายกรัฐมนตรีพยายามดูการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคนอยู่
• โบ้ยแค่กองเชียร์ “โรเบิร์ต” เป็นทนายให้ นปช.ยันไม่ได้ให้ล็อบบี้
เมื่อถามว่า เวลานี้ประเทศไทย มีประเด็นอะไรน่าเป็นห่วงที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ประเด็นการทะเลาะกันเองของคนไทย ตนคิดว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ความจริงแล้วเรื่องทั้งหมดมาจากพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคไทยรักไทย ที่สู้กันมา แล้วพรรคไทยรักไทย ประชาชนเลือกมากทุกครั้งที่เลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะมีอารมณ์ค้างจากการแข่งขันทุกครั้ง ก็เลยใช้กรรมวิธีนอกสภาเยอะเกินไป เลยวุ่นวายไปหมด แล้วมันก็ spill over (กระฉอก) ไปยังประชาชน ทำให้เกิดเสื้อเหลือง และเสื้อแดง
“มันเป็นสิ่งที่มันไม่น่าจะเกิดสำหรับประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธ เมืองที่ผู้คนเป็นเมืองยิ้ม มีอัธยาศัยต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน แต่วันนี้ผมว่าทำไมต้องมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าทุกคนหันกลับไปบอกว่า เอ้า ทุกคนไปเข้ากติกาสิ นะ เลือกตั้ง ประชาชนเขาก็ตัดสินใจแล้วต้องเคารพประชาชน ถ้าเราเหมือนกับคนที่อยู่ในอเมริกา เราก็เห็น แม้ว่าตอนนั้น จอร์จ บุช กับ อัล กอร์ มาสู้กัน เหลือสองพันแต้มครั้งสุดท้าย ทะเลาะกัน เถียงกัน พอจบมันก็จบ จบแล้วเขาก็ไม่มีการมาตอแยอะไรกันอีกเลย แล้วปล่อยให้ทำงานไป มันก็ไม่มีอะไร” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ส่วนกรณีที่ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม แจ้งต่อสภาคองเกรสว่า ไม่ได้เป็นล็อบบียิสต์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า กฎหมายอเมริกาถ้าใครจะไปทำหน้าที่ล็อบบี้ให้ใครก็จะต้องไปลงทะเบียน แล้วก็มีค่าธรรมเนียม ตอนนั้นนายโรเบิร์ต คิดว่า จะมาทำหน้าที่ล็อบบียิสต์ให้ตนที่นี่ ซึ่งฐานของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ที่อังกฤษ เพราะฉะนั้นตนก็เลยไม่ได้จ้าง เมื่อมีการลงทะเบียนไว้อยู่ผลสุดท้ายเขาก็เลยต้องถอนออก ไม่เช่นนั้นเสียค่าธรรมเนียมเปล่าๆ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำอะไรให้ตนที่อเมริกาเลย ตอนนี้นายโรเบิร์ต ทำงานเป็นทนายให้กับ นปช.ก็เรื่องที่จะฟ้องรัฐบาลที่แล้ว เป็นทนายความให้ นปช.ไม่ได้เป็นทนายความให้ตน ด้วยความเป็นเพื่อนก็ช่วยเชียร์บาง ช่วยเคลียร์บ้าง และไม่เกี่ยวกับการได้วีซ่าเข้าสหรัฐฯ
• ยันไม่เกี่ยว “สนธิ” โหวตโน ถามพันธมิตรฯ ยังประท้วงจะตกลงยังไง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงการรณรงค์ “โหวตโน” ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีที่มาที่ไปอย่างไร โดยกล่าวว่า “ก็ตามนิสัย คุณสนธิ ถ้าไม่ได้อะไรดั่งใจก็โกรธหมด ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ก็ที่โกรธผม ก็เพราะไม่ได้ดั่งใจตอนนั้น ที่อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ ก็โกรธ ตอนหลังมา เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์นี่ การได้มาเป็นรัฐบาล เขาก็มีส่วนเยอะ ก็คงโกรธบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ที่โกรธหนักก็ตอนที่เขาถูกลอบยิง” เมื่อถามว่าทำไมถึงโกธรพรรคประชาธิปัตย์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวพร้อมกับหัวเราะไปว่า “เขาก็โกรธไป ที่เขาสงสัยใครเขาก็โกรธหมดแหละ ผมก็ไม่รู้จริงหรือเปล่า”
เมื่อถามว่า ที่พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น เป็นเพราะโหวตโนหรือเปล่า พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ไม่เกี่ยวเลยครับ โนโหวตมีไม่กี่เเต้มเลย เพื่อไทยได้ด้วยตัวเอง ขาดลอยด้วยตัวเองนะครับ จริงๆ แล้วมันน่าจะชนะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ คือก็ต้องยอมรับว่า คุณสนธิพูดอะไรคนเชื่อฟังน้อยลงเยอะ เพราะคนเริ่มรู้ความจริง เมื่อก่อนนี้คนไม่รู้ความจริงก็เชื่อเยอะ” เมื่อถามว่า มีข่าวลือบอกว่านายสนธิ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตกลงกันแล้วเรียบร้อย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า “จะตกลงกันยังไง เสื้อเหลืองก็มาประท้วงผมอยู่นี่ ตกลงกันยังไง สาวกยังเกะกะอยู่เลยเนี่ย”
• อ้างถูกรังแกจึงต้องเคลื่อนไหว ยันสู้แบบสบาย ทั้งกินทั้งเที่ยว
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในเดือนหน้าจะครบ 6 ปีของการรัฐประหาร ว่า อยู่ที่ว่าจะคิดยังไง ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องภาระของเรามันก็ท้อ แต่ไม่ใช่ ตนเห็นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็ต้องสู้ ถ้าไม่สู้ต่อไปคนที่จะรังแกคนอื่นมันก็รังแกง่าย ถ้าตนยอมแพ้ง่ายๆ กับสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม ต่อไปชาวบ้านธรรมดาก็ต้องถูกรังแกง่ายๆ ซึ่งมันไม่ได้ ถ้าพูดกันด้วยเหตุด้วยผลนะ ไม่กลั่นแกล้งกัน อะไรก็ได้ เพราะตนเป็นคนไม่ยึดติดอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้ามากลั่นแกล้งรังแกกัน ความยุติธรรมไม่เกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ต้องไปบอกให้คนรู้ว่า ชั้นไหนก็ถูกรังแกได้ อย่างนี้บ้างเมืองมันก็จบ ต่อไปความยุติธรรมมันจะอยู่ที่ไหน
เมื่อถามว่า ณ เวลานี้ ใช้คำว่าสู้แบบยิบตาได้ไหม พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ใช่ ตนสู้แบบมีสติ สบายๆ ตนก็ไปได้เรื่อยๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร สุขภาพก็แข็งแรง หน้าตาก็สดใส ไม่เห็นมีอะไร ทั้งกินทั้งเที่ยวทั้งพักผ่อน สบายๆ แต่ว่าขณะเดียวกันก็ต้องใช้สติในการแก้ไขปัญหาและต้องไม่ซ้ำเติมบ้านเมือง เมื่อถามว่า มองว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร ยุติอย่างไร พ.ต.ท.ทัก๋ณกล่าวว่า ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย จริงๆ แล้วก็ที่แกล้ง ที่ทำร้ายตน ก็เลิกแกล้งตนซะ แล้วพวกที่อยากจะเข้าสู่อำนาจรัฐโดยไม่มีกติกา ก็ต้องยอมรับกติกาเสีย คนรักษากติกาก็ให้ความเป็นธรรมหน่อย แค่นั้นเอง วันนี้คนรักษากติกาก็เริ่มให้ความเป็นธรรมมั่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีนัก
• เฉไฉอ้าง “คนเบื้องหลังสนธิ” ทำถูกยึดอำนาจ เฉยๆ เรื่องกลับบ้าน
เมื่อถามว่า เคยสัมภาษณ์ที่นิวยอร์ก เมื่อ 18 ก.ค.2549 ก่อนเกิดรัฐประหารไม่กี่ชั่วโมง เรื่องนายสนธิที่ประกาศจะจัดชุมนุมใหญ่วันที่ 20 ก.ย.เพื่อ “สกัดแม้วเหยียบแผ่นดิน” ตอนนั้นตอบว่า “สนธิเป็นใครมาห้ามผมเหยียบแผ่นดิน ต้องถามสนธิเป็นใคร ผมเป็นใคร ไร้สาระครับ วันนี้ฝรั่งถามผม ผมเลยบอกว่า... ไม่อยากแปลเลย สรุปว่าผมใช้คำที่ฝรั่งหัวเราะกันทั้งห้องว่า “like dog barking at the moon” วันนี้ 6 ปีให้หลังมองนายสนธิเปลี่ยนไป หรือมองว่าตัวเองประมาทไปหน่อยไหม พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ไม่ใช่หรอกครับ มันไม่เกี่ยวกับคุณสนธิเลย ต้องยอมรับว่า คุณสนธิ เป็นใครจริงๆ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังคุณสนธิ ต่างหากล่ะ ที่เป็นปัญหา ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะครับ บ้านเมืองเรามันซับซ้อนเยอะ บางอย่างนี่เราก็พูดได้ระดับหนึ่ง”
“คือ ผมไม่มองลึกไปกว่า ผมมองตื้นไปหน่อย ผมมองว่า สนธิ ก็คือ สนธิ พันธมิตรฯ ก็คือพันธมิตรฯ แต่ผมไม่ได้มองว่าคนที่ใช้สนธิกับใช้พันธมิตรฯเป็นใคร ถ้าผมมองตรงนั้น ผมก็จะไม่พูดอย่างนั้น แต่บังเอิญว่า ผมไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นนะครับ เมื่อผมรู้แล้ว ผมก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่เป็นไร วันนี้นี่ ผมเฉยๆ เลยนะเรื่องกลับบ้านนี่ กลับก็ได้ ไม่กลับก็ได้ แต่ปัญหาก็คือว่าอยากเห็นบ้านเมืองยุติ ผมอยู่เมืองนอกจน settle (ตั้งถิ่นฐาน) หมดแล้ว ผมสบาย ผมมีบ้านไม่รู้กี่ประเทศแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่เพียงแต่ว่าเรานี่ ห่วงคนไทย ห่วงบ้านเมืองนะครับ ห่วงประเทศที่มัน rule of law (นิติธรรม) ไม่มี มันต้องมี rule of law ไม่เช่นนั้น บ้านเมือง ความเชื่อถือมันไม่มี คนจะไปลงทุนก็ไม่กล้าลงทุน คนไม่มั่นใจในทรัพย์สินของตัวเองที่อยู่ในประเทศไทยว่าจะได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เพราะไม่มี Rule of law นะครับ” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว