“ปานเทพ” มั่นใจ “ทักษิณ” พบ “สตีเฟน เพน” ล็อบบี้ยิสต์ข้ามชาติด้านพลังงาน เพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แนะวิธีตอบโต้อเมริกาได้ตรงจุดที่สุด ต้องทวงคืนพลังงานกลับเป็นสมบัติชาติ เริ่มต้นด้วยการเรียกร้องให้ขึ้นภาษีปิโตรเลียมเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ หวังให้สหรัฐฯ ทบทวนว่าคุ้มหรือไม่ที่คบนักโทษหนีคดี
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
โดยนายปานเทพกล่าวว่า ตนเชื่อว่าทุนของอเมริกาเป็นทุนที่เชื่อมกัน เพียงแต่ว่าเดโมแครตจะเน้นตลาดทุนในตลาดหุ้น แต่รีพับลิกันเน้นทุนพลังงานและอาวุธสงคราม แต่ก็เชื่อมโยงกัน ไม่ว่าใครขึ้นมาก็ไม่ต่าง
ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ คนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าพบและรับประทานอาหารร่วมกัน นายสตีเฟน เพน (Stephen Payne) ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคุณสมบัติมีปัญหามากมาย แต่ยังสามารถได้วีซ่าเข้าอเมริกา แล้วได้พบกับคนคนนี้แสดงว่ามีกำหนดการไว้ล่วงหน้าแน่นอน
นายสตีเฟน เพน เป็นนักล็อบบี้ยิสต์ที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามายาวนานกว่า 25 ปี โดยเป็นที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์และมีประสบการณ์ด้านพลังงาน ปัจจุบันได้เป็นตัวแทนให้กับหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน อาเซอร์ไบจาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรวมถึงทำงานร่วมกับอีกหลายบริษัทที่เป็นลูกค้าของเขา เช่น บริษัทวาณิชธนกิจอย่าง เจพี มอร์แกน, บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ยี่ห้อ SAP, สายการบิน คอนติเนนตัล, เครื่องบินโบอิ้ง, บริษัทผลิตอาวุธและเครื่องบินสงคราม ร็อกฮีต มาร์ติน
ในกลุ่มธุรกิจพลังงาน นายสตีเฟน เพน ยังเป็นตัวแทนให้กับบริษัทในรัสเซียหลายแห่ง เช่น Yukos และ Tatneft Oil ควบคู่ปกับอีกหลายบริษัท ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ Stephen Payne ได้ทำงานกับ Iter Gas (ซึ่งเป็นบริษัทก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย) ในการพัฒนาร่วมกับโครงการหลายอย่างในระดับนานาชาติ รวมถึงการส่งออกก๊าซเหลวธรรมชาติ หรือ Liquid Natural Gas (LNG) เขายังเป็นตัวแทนให้กับรัฐบาลเติร์กเมนิสถานในการจัดรวมโครงสร้างกันใหม่ในฐานะเป็นหุ้นส่วนกันของเติร์กเมนิสถานกับบรรษัทนานาชาติในการสร้างท่อส่งก๊าซจากเติร์กเมนิสถานไปยังปากีสถาน
นายสตีเฟน เพน ยังเป็นผู้ประสานโครงการและจัดการประชุมไตรภาคีสุดยอดผู้นำระหว่างประธานาธิบดีแห่งเติร์กเมนิสถาน, อัฟกานิสถาน และปากีสถาน จนสามารถบรรลุลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยท่อส่งก๊าซจากเติร์กเมนิสถานกับอัฟกานิสถาน ฟื้นฟูโครงการให้เดินหน้าต่อไปได้หยังจากหยุดโครงการดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปี
นายสตีเฟน เพน ได้เคยรับใช้ในฐานะตัวแทนส่วนหน้าของประธานาธิบดีทำเนียบขาวในการเดินทางร่วมกับประธานาธิบดีบุชไปยังประเทศจอร์แดน สำหรับการเจรจาสุดยอดผู้นำทะเลแดงในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 และยังเดินทางร่วมกับรองประธานาธิบดี ดิ๊ก เชนีย์ ในตะวันออกกลางในปี พ.ศ. 2545 และ พ.ศ. 2548 รวมถึงการเดินทางไปยังคาซัคสถานในปี พ.ศ. 2549 และการเดินทางในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน อาร์มิด คาร์ไซย์ (อดีตที่ปรึกษาบริษัทน้ำมันยูโนแคล) นอกจากนี้เขายังเคยได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง อีกทั้งยังเคยเป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้กับส่วนบริหารจัดการขององค์การการบินอวกาศแห่งชาติ (NASA) ที่เชื่อมโยงกับทำเนียบขาวและสภาคองเกรสอีกด้วย
ฉะนั้น การเจอแบบนี้ไม่ธรรมดา เป็นล็อบบี้ยิสต์ข้ามชาติ แล้วเน้นธุรกิจพลังงาน ทำให้มองข้ามไม่ได้ ว่าการเจรจาครั้งนี้จะเกี่ยวกับงานด้านความมั่นคงและพลังงาน ซึ่งประเทศไทยอยู่ในฐานะที่เปราะบางระหว่างการช่วงชิงของมหาอำนาจจีนและอเมริกา เพียงแต่ที่ผ่านมาใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล จะพึ่งพิงอเมริกาตลอด ทำให้ผลประโยชน์ถ่ายโอนไปยังอเมริกาเป็นส่วนใหญ่
การเจรจาเที่ยวนี้ย่อมมองสองจุดสำคัญ คือ งานด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการปิดล้อมจีน และการสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ที่ต้องการแก้กฎหมายขยายอายุสัมปทานให้ยาวออกไปอีก รวมไปถึงการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ประโยชน์อะไร ขึ้นอยู่กับว่าพ.ต.ท.ทักษิณ แค่ต้องการกลับประเทศ หรือมีนอมินีถือหุ้นตามบริษัทต่างๆเพื่อร่วมผลประโยชน์ทางพลังงานด้วย หรือจะทั้งสองอย่าง ต้องจับตามอง
นายปานเทพกล่าวต่อว่า ถ้าอยากให้บทเรียนอเมริกา แบบตีตรงจุด คนไทยต้องลุกขึ้นทวงพลังงานกลับมาเป็นของประเทศ เพราะไม่มีประโยชน์แล้ว อเมริกาไม่เคารพนิติรัฐของไทย โดยเริ่มจากการขึ้นภาษีปิโตรเลียมใหม่ทั้งหมดเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้
อเมริกาไม่มีอย่างอื่นนอกจากผลประโยชน์ส่วนตัว การประท้วงแค่ว่าอเมริกาทำผิดกฎหมาย เขาไม่อายหรอก ประเทศนี้ไม่มีอาย ทำสงครามปล้นพลังงานประเทศต่างๆ เขายังทำได้เลย คนไทยต้องเคลื่อนไหวเรื่องพลังงานให้มากๆ ให้อเมริกาเห็นว่าคุ้มหรือไม่ที่คบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ตนยังไม่มั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่อย่างมีความสุขได้ หากคนไทยในอเมริการวมตัวได้มากกว่านี้ คิดว่าโอกาสที่จะอยู่อเมริกาเป็นไปได้ยาก แล้วจะปลอดภัยหรือไม่ ถ้าสถานการณ์พลิกผัน บทเรียนของอเมริกาผู้นำหลายคนที่เขาเคยสนับสนุน ท้ายที่สุดหากไม่สอดคล้องกับตัวเอง ถูกสังหารไปหลายคนแล้ว
นายพิชายกล่าวว่า การที่สหรัฐฯตัดสินใจให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิ่งที่คิดผิด การประท้วงของคนไทยที่อเมริกาเป็นแค่จุดเริ่มต้น ถ้ายังไม่สำเหนียกก็จงรอรับผลกรรมที่จะตามมา ถ้าอเมริกาสรุปบทเรียนจงรีบตัดสินใจเตะ พ.ต.ท.ทักษิณออกไป
การเรียกร้องเรื่องปิโตรเลียมนั้นเป็นเป้าหมายที่ควรทำ แต่ก่อนอื่นอาจใช้วิธีแบนสินค้าของอเมริกา เพื่อสะสมความรู้สึกของคนไทยไปเรื่อยๆ และเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เราต้องมาทบทวนบทบาทของอเมริกา คนไทยต้องทำสิ่งต่างๆเพื่อตอบโต้การกระทำ ทำอะไรได้ก็ทำแล้วแต่อัธยาศัย