โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารฟันกลาโหมละเลย “มาร์ค” หนีทหารให้ผู้ตรวจฯ แล้ว เชื่อสัปดาห์หน้ารู้ผล - “หมอกมลพรรณ” โผล่ยื่นหนังสือจี้สอบรัฐมนตรีพลังงาน ขัดจริยธรรม ทำโฆษณาชวนเชื่อว่า ก๊าซไม่พอใช้ ทั้งที่ ปตท.ใช้มากสุด แถมเกี่ยวพันชินคอร์ป จ่อยื่น สคบ.ฟันด้วย
วันนี้ (1 ส.ค.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องของ นายกมล บันไดเพชร สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบจริยธรรม รมว.กลาโหม ที่ละเลยการตรวจสอบเอกสารเข้ารับราชการทหารของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งเอกสารและรายละเอียดให้ นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ซึ่งต่อจากนี้ก็คงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายศรีราชา ว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ นายศรีราชา อาจจะขอความเห็นจากผู้ตรวจการแผ่นดินอีก 2 คน หรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ นายศรีราชา เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ซึ่งดุลพินิจของผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเหมือนหรือต่างกันกับที่ รมว.กห.แถลงก็ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในสัปดาห์หน้า เรื่องนี้จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา เพราะข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนแล้ว และเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคม อย่างน้อยก็ต้องมีมติออกมาให้สาธารณะรับรู้
ขณะที่วันนี้ พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง และสภาเครือข่ายการเมืองภาคพลเมือง ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กรณีปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อประมวลจริยธรรม เนื่องจากกระทรวงพลังงานได้ซื้อหน้าสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชน เห็นว่า ก๊าซหุงต้มไม่พอใช้ จึงต้องนำเข้าในราคาที่สูง และรัฐต้องนำเงินไปชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยนำเงินกองทุนน้ำมันที่ประชาชนทุกคนที่ซื้อนำมัน และก๊าซในรูปของราคากองทุนน้ำมันในราคา 1-12 บาทต่อลิตร หรือต่อกิโลกรัม นำไปชดเชยในส่วนต่างของราคาในประเทศ และที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งที่แท้จริงแล้วสัดส่วนการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนและภาคขนส่ง รวมกันสามารถใช้ก๊าซในประเทศที่เพียงพอ แต่สัดส่วนที่ใช้กันมาก คืออุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ ปตท.ที่สามารถซื้อก๊าซได้ถูกกว่าบริษัทอุตสาหกรรมอื่น และภาคขนส่ง อีกทั้งบริษัทในเครือ ปตท.กำไรจากการขุดเจาะสำรวจและขายก๊าซในสัดส่วนที่สูงมากแล้วประมาณ 70-80% โดยบริษัทลูกของปตท.ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี เช่น PTTGC มีกำไรเพิ่มในสัดส่วนที่สูงมากเช่น 180% ทั้งประธานกรรมการคือ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นคณะกรรมการในบริษัท ชินคอร์ป ด้วย ซึ่งสังคมก็จะทราบดีว่าบริษัทชินคอร์ปเกี่ยวข้องกับผู้นำรัฐบาล การกระทำดังกล่าวของ รมว.พลังงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน เป็นการหมกเม็ดข้อมูลเพื่อประโยชน์เอกชนและผู้อื่น จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวขัดประมวลจริยธรรมนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 279 และประมวลจริยธรรมนักการเมือง หรือขัดประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน รวมถึงขัดต่อประมวลกฎหมายมาตรา 341, 148, 152 และ มาตรา 157 หรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สภาเครือข่ายการเมืองภาคพลเมืองก็จะยื่นเรื่องดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ต่อไป
“เจ้าหน้าที่รัฐใช้งบประมาณในการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อจะได้ขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซด้วยความชอบธรรม ทั้งที่จริงแล้วก๊าซภายในประเทศมีเพียงพอที่จะใช้ในภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง ซึ่งถือว่าราคาในสองส่วนนี้มีราคาสูงมากกว่าราคาก๊าซในภาคปิโตรเคมี แต่ขณะนี้รัฐบาลกลับขึ้นราคาก๊าซที่ใช้ในภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง มากกว่าขึ้นราคาภาคปิโตรเคมี ซึ่งเห็นว่า เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน อีกทั้งยังเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของบริษัทเอกชน” พญ.พท.กมลพรรณ กล่าว
วันนี้ (1 ส.ค.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องของ นายกมล บันไดเพชร สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบจริยธรรม รมว.กลาโหม ที่ละเลยการตรวจสอบเอกสารเข้ารับราชการทหารของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งเอกสารและรายละเอียดให้ นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ซึ่งต่อจากนี้ก็คงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายศรีราชา ว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ นายศรีราชา อาจจะขอความเห็นจากผู้ตรวจการแผ่นดินอีก 2 คน หรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ นายศรีราชา เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ซึ่งดุลพินิจของผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเหมือนหรือต่างกันกับที่ รมว.กห.แถลงก็ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในสัปดาห์หน้า เรื่องนี้จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา เพราะข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนแล้ว และเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคม อย่างน้อยก็ต้องมีมติออกมาให้สาธารณะรับรู้
ขณะที่วันนี้ พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง และสภาเครือข่ายการเมืองภาคพลเมือง ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กรณีปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อประมวลจริยธรรม เนื่องจากกระทรวงพลังงานได้ซื้อหน้าสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชน เห็นว่า ก๊าซหุงต้มไม่พอใช้ จึงต้องนำเข้าในราคาที่สูง และรัฐต้องนำเงินไปชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยนำเงินกองทุนน้ำมันที่ประชาชนทุกคนที่ซื้อนำมัน และก๊าซในรูปของราคากองทุนน้ำมันในราคา 1-12 บาทต่อลิตร หรือต่อกิโลกรัม นำไปชดเชยในส่วนต่างของราคาในประเทศ และที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งที่แท้จริงแล้วสัดส่วนการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนและภาคขนส่ง รวมกันสามารถใช้ก๊าซในประเทศที่เพียงพอ แต่สัดส่วนที่ใช้กันมาก คืออุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ ปตท.ที่สามารถซื้อก๊าซได้ถูกกว่าบริษัทอุตสาหกรรมอื่น และภาคขนส่ง อีกทั้งบริษัทในเครือ ปตท.กำไรจากการขุดเจาะสำรวจและขายก๊าซในสัดส่วนที่สูงมากแล้วประมาณ 70-80% โดยบริษัทลูกของปตท.ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี เช่น PTTGC มีกำไรเพิ่มในสัดส่วนที่สูงมากเช่น 180% ทั้งประธานกรรมการคือ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นคณะกรรมการในบริษัท ชินคอร์ป ด้วย ซึ่งสังคมก็จะทราบดีว่าบริษัทชินคอร์ปเกี่ยวข้องกับผู้นำรัฐบาล การกระทำดังกล่าวของ รมว.พลังงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน เป็นการหมกเม็ดข้อมูลเพื่อประโยชน์เอกชนและผู้อื่น จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวขัดประมวลจริยธรรมนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 279 และประมวลจริยธรรมนักการเมือง หรือขัดประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน รวมถึงขัดต่อประมวลกฎหมายมาตรา 341, 148, 152 และ มาตรา 157 หรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สภาเครือข่ายการเมืองภาคพลเมืองก็จะยื่นเรื่องดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ต่อไป
“เจ้าหน้าที่รัฐใช้งบประมาณในการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อจะได้ขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซด้วยความชอบธรรม ทั้งที่จริงแล้วก๊าซภายในประเทศมีเพียงพอที่จะใช้ในภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง ซึ่งถือว่าราคาในสองส่วนนี้มีราคาสูงมากกว่าราคาก๊าซในภาคปิโตรเคมี แต่ขณะนี้รัฐบาลกลับขึ้นราคาก๊าซที่ใช้ในภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง มากกว่าขึ้นราคาภาคปิโตรเคมี ซึ่งเห็นว่า เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน อีกทั้งยังเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของบริษัทเอกชน” พญ.พท.กมลพรรณ กล่าว