อดีต ส.ว.สรรหา เจ้าประจำ ฟ้องคืน “วิรัตน์” พร้อมพรรค ปชป. หลังคำวินิจฉัยฟ้องรัฐฯ ผลออกมาไม่ล้มล้างการปกครอง ยก ม.68 วรรคสี่ ต้องยุบพรรคผู้ร้อง พร้อมให้ศาลยกเลิกคำสั่งชะลอวาระ 3 แต่กลับเชื่อรัฐฯลุยลงมติได้ อ้างตุลาการเปิดช่องให้
วันนี้ (31 ก.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ได้ยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้มีคำวินิจฉัยให้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในฐานะพยานผู้ร้อง ยกเลิกการกระทำการกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนากระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยกคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง โดยเห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสาม และให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสี่ เนื่องจากการกระทำของนายวิรัตน์และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภา และสาเหตุที่ยื่นให้วินิจฉัยเพียงนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเป็นผู้ร้องที่เป็นพรรคการเมืองเพียงผู้ร้องเดียว
นายเรืองไกรยังได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกการแจ้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ตามหนังสือเลขที่ ศร 0006/440 ลงวันที่ 1 มิ.ย. 2555 ที่แจ้งให้ประธานรัฐสภาชะลอการลงมติในวาระ 3 และคำสั่งที่ 002/2555 ลงวันที่ 1 มิ.ย. 2555 ที่แจ้งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งประธานรัฐสภาให้รอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เป็นไปเพื่อการล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 ไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่หนังสือทั้ง 2 ฉบับยังคงอยู่ ส่งผลให้รัฐสภา ไม่สามารถเดินหน้าลงมติวาระ 3 ได้ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
นายเรืองไกรยังกล่าวต่อว่า ทั้งนี้หลังจากที่ตนได้ศึกษาคำวินิจฉัยกลาง ก็พบว่าศาลได้เปิดช่องทางให้มีการตั้ง ส.ส.ร. เนื่องจากในประเด็นที่ 3 ของคำวินิจฉัยกลาง มีส่วนหนึ่งที่ศาลระบุว่า
“อย่างไรก็ตาม หากสภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเป็นการเปลี่ยนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์แล้ว ทั้งประธานรัฐสภา และรัฐสภา ก็มีอำนาจยับยั้งให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไปได้”
จะเห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดช่องการลงมติในวาระ 3 เพื่อให้เกิด ส.ส.ร.ไว้ในคำวินิจฉัยกลางแล้ว เป็นสิ่งยืนยันว่ารัฐสภาสามารถดำเนินการลงมติในวาระ 3 ต่อไปได้