รายงานการเมือง
เปิดสภาเดือนสิงหาคมนี้มีอะไรให้ลุ้นกันพอสมควรสำหรับบรรดาคอการเมืองที่มีความเป็นห่วงต่อบ้านเมือง
เพราะนายกฯ บาร์บี้ที่เจ็บจี๊ดกับฉายา “โง่” โบ้ยความรับผิดชอบเรียบร้อยแล้วว่า “เป็นเรื่องของรัฐสภา” ตามยุทธศาสตร์รักษาขุนในคลิปที่ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา สาวไส้ออกมาให้เห็นจนเกือบถึงรูทวาร
อาการลอยตัวที่ทำมาตลอด 1 ปี ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งตอกย้ำให้ผู้คนเกิดความมั่นใจมากขึ้นว่า เธอมีสมองไว้เพียงคั่นหูกับการคิดค้นชุดที่จะใส่ในวันรุ่งขึ้น รวมถึงวางแผนช็อปปิ้งทันทีที่มีโอกาสเท่านั้น
และนี่คือความใจดำอย่างยิ่งของ นักโทษหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร และทีมยุทธศาสตร์ ซึ่ง พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายนายกรัฐมนตรี พูดแบบไม่สะทกสะท้อนกับสื่อฝรั่งเศสว่า
“การที่เธอไม่มีประสบการณ์อะไรเลย คือเหตุผลที่ทำให้เธอเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี”
ถ้า ยิ่งลักษณ์ถูกมองว่า “โง่-ไร้ประสบการณ์” แล้วมีประโยชน์ต่อการเป็นนายกรัฐมนตรี แสดงว่านักโทษชายทักษิณและทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยมองประเทศไทยอย่างไร ฝากให้คนไทยได้คิด
ต้องคิดต่อด้วยว่า เราจะยอมให้นักโทษหนีคดีบงการประเทศไทยไปอีกนานแค่ไหน เราจะสอนลูกสอนหลานอย่างไรว่า ห้ามโกง ห้ามทำเลว เพราะจะถูกรังเกียจ ไร้ที่ยืนในสังคมไทย ในเมื่อคนที่ทั้งโกงกิน ทั้งเผาเมือง ทำลายชาติ แม้ไม่มีที่ยืนในสังคมไทยเพราะหนีคุก แต่มีที่อยู่มากมายในต่างแดน แถมคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองนี้ไปเคารพนบนอบ
เป็นยุคที่ “ตำรวจ” ไปกราบ “โจร” โดย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ยอมรับหน้าชื่น ลาราชการในวันที่ 24 ก.ค. 55 บินไปเขตพิเศษฮ่องกงตามคำเชิญของ นักโทษ
ประเทศไทยกลายเป็นบ้านเมืองที่จริยธรรมไม่มีความหมาย ในขณะที่ฟิลิปปินส์อดีตประธานาธิบดี กลอเรีย อาร์โรโย ยังถูกคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เนื่องจากถูกกล่าวหาในคดีโกงเลือกตั้ง
ที่เกาหลีใต้ ประธานาธิบดี ลี เมียงบัค โค้งคำนับกล่าวขอโทษประชาชนและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่พี่ชายและคนใกล้ชิดไปพัวพันกับการทุจริต
แล้วสำนึกของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยอยู่ที่ไหน เธอทำอะไรบ้างที่จะกอบกู้ระบบคุณธรรม จริยธรรมในประเทศ หลังจากที่แทบจะล่มสลายไปพร้อมๆ กับการปลุกปั่นยุยงให้คนเห็นผิดเป็นชอบ กลับดำเป็นขาว เชิดชูนักโทษให้กลายเป็นวีรบุรุษ
ตลอด 1 ปีของการดำรงตำแหน่ง ไม่มีความสามารถใดๆ ให้เห็น นอกจาการหลบแว๊บไปว.5 ชั้น 7 ที่โฟร์ซีซั่นส์ กับการยิ้มสวยให้ช่างภาพถ่ายรูป พร้อมด้วยวลีติดปากในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในบ้านเมืองว่า “ให้เป็นเรื่องของสภา”
ไม่เคยมีสักครั้งที่จะใช้ภาวะผู้นำในการคลี่คลายสถานการณ์ มีแต่การใช้อำนาจที่มีผลักดันวาระเพื่อพี่ชาย และยังเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจความเสียหายของชาติบ้านเมืองที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงทุกด้าน ทั้งสังคม การเมือง และ เศรษฐกิจ
เปิดสภาแทนที่จะมีความชัดเจนในเรื่องการถอนร่างพ.ร.บ.ล้างผิดคนโกงและการไม่ลงมติวาระ 3 ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ทุกอย่างก็ยังอึมครึมปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่พร้อมจะเกิดการเผชิญหน้าได้ทุกเมื่อ
เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีธงทำเพื่อพี่ชายนักโทษหนีคดี โดยไม่ยี่หระกับความหายนะของบ้านเมือง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างนักอ้างหนาว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 คือเทพเจ้าแห่งความเป็นประชาธิปไตย เอาเข้าจริงพอถูกศาลลอกคราบให้คำแนะนำว่าต้องแก้เป็นรายมาตรา หรือทำประชามติถ้าจะแก้ทั้งฉบับ ก็เลยทำให้ต้องเปิดหน้าชกเห็นกันจะจะว่าถือไพ่อะไรไว้ในมือรอวางประกาศชัย
ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอของวัฒนา เมืองสุข หรือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หากพิเคราะห์ดูเนื้อหาแล้วจะเห็นว่า เป็นประชาธิปไตยย้อนยุค เพราะนอกจากกรุยทางช่วยนักโทษหนีคดีแล้ว ยังทำลายระบบตรวจสอบอันเป็นกลไกที่เกิดขึ้นจากการออกแบบของรัฐธรรมนูญปี 40
ไม่เพียงเท่านั้นยังคิดปล้นสิทธิชุมชนด้วยการแก้ไขมาตรา 67 รวบอำนาจมาไว้ที่ส่วนกลางตัดสิทธิชุมชนในการร่วมกำหนดนโยบายสาธารณะที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชุมชน บนข้ออ้างว่า “ไม่ควรให้อำนาจกับท้องถิ่นใหญ่กว่ารัฐบาลกลางในเรื่องประโยชน์สาธารณะ”
มีการแก้ไขประเด็นไหนที่ประชาชนได้ประโยชน์ มีแต่จะเสียประโยชน์และถูกปล้นสิทธที่พึงมีต่อการมีส่วนร่วมกับการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรมไปเสียด้วย
ผู้แทนปวงชนชาวไทยที่อ้างว่าได้เสียงข้างมากมีสิทธิขาดในแผ่นดินนี้จากการมอบฉันทานุมัติให้ของประชาชน 15 ล้านเสียง กำลังจะปล้นสิทธิจากมือของประชาชน 64 ล้านคน เพื่อรวบอำนาจไว้กับรัฐส่วนกลาง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจะต้องทุนทุกข์กับอุตสาหกรรมหนัก มลพิษอย่างไร “ช่างแม่มัน”
นี่ใช่รัฐบาลที่ดีของประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องที่ 15 ล้านเสียงที่เคยเลือกคนเหล่านี้เข้ามาบริหารประเทศต้องคิด
การเดินเกมแบบลับ ลวง พราง สับขาหลอกประชาชนตลอดเวลาทั้งการกำหนดนโยบายตบตาไม่ตรงไปตรงมา จนมาถึงการทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือนักโทษหนีคุก เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าเมื่อเปิดสมัยประชุมเดือนสิงหาคม การดันทุรังที่จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเพื่อพี่ล้างผิดให้พวกต้องทำแน่
แต่จะใช้เกมชั่วเดินใต้ดินหลอกเอาเสียงประชาชนมาสนับสนุนเพื่อลากไปสู่การล้างผิด ด้วยขบวนการหลอกเอารายชื่อประชาชนให้เซ็นรับรองสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่
โดยพฤติกรรมที่ทำคือ นำกระดาษอ้างว่าเป็นการสนับสนุนกฎหมายเพื่อประชาชน แต่ไม่มีการระบุว่าเป็นกฎหมายใด เพื่อให้ประชาชนเซ็นลงชื่อ ซี่งมีการเดินการผ่านกลไกของฝ่ายปกครองและกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีการนำเอาเอกสารลักษณะดังกล่าวไปแจกจ่ายโรงเรียนในเชียงใหม่ เพื่อให้ผู้ปกครองเซ็น ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการเกณฑ์นักเรียนชั้น ม.6..จากหลาย ร.ร.ไปทัศนศึกษาที่เกาะเกร็ดใช้เรือสำราญขนาดใหญ่แจกเงินคนละ 200 จากนั้นให้ครูและนักเรียน..เซ็นแบบฟอร์มมีตรา พท.ถ่ายสำเนาบัตร ปชช..พร้อมเซ็นรับรองสำเนา โดยห้ามขีดคร่อมสำเนาด้วย
ที่น่าสนใจคือ มีรถบัสขนาดใหญ่ติดตั้งเครื่องถ่ายเอกสารเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมสรรพในการดำเนินการแบบเต็มร้อย ต้องถาม ผอ.ร.ร.วัดน้อยนพคุณ และ ร.ร.มัธยมวัดเบญจมบพิตร ว่า หากเขานำรายชื่อพวกท่านและเด็กนักเรียนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไปใช้สนับสนุนกฎหมายล้างผิดนิรโทษคนโกงพวกท่านจะว่าอย่างไร
สังคมยุคนี้กลไกราชการมีไว้รองมือรองตีนนักโทษ ใช่หรือไม่?
คนไทยจะทิ้งสังคมแบบไหนไว้ให้ลูกหลาน เป็นเรื่องที่ต้องตรึกตรองดู ถ้าพอใจที่บ้านจะอยู่ในยุคอันธพาลครองเมือง กฎหมายใช้งานไม่ได้กับผู้มีอำนาจ จริยธรรมเสื่อมทรามบูชานักโทษเหยียบย่ำคนดี ก็อยู่ใต้อุ้งตีนมันต่อไป
แต่ถ้าไม่ยอมก็ต้องร่วมกันแสดงออกว่า เสียงข้างมากจากการเป็นรัฐบาลอนญาตให้ไปทำนโยบายดีๆ เพื่อประชาชน ไม่ใช่ใบเบิกทางให้ทำชั่ว ปู้ยี่ปู้ยำต่อระบบของประเทศ