xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ย้อนรอย 7 ตุลา ...คนฆ่าพันธมิตรฯ ยังลอยนวล!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตำรวจยิงระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อ 7 ต.ค.51
อมรรัตน์ ล้อถิรธร.....รายงาน

เกือบ 4 ปีแล้ว สำหรับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ในยุครัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้สั่งตำรวจให้ฆ่าประชาชน จากกรณีเจ้าหน้าที่ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาคุณภาพต่ำ แต่อานุภาพทำลายล้างสูง ยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เพียงเพื่อให้ตัวเองเดินทางเข้าสภาแถลงนโยบายได้ ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ...ฤาผู้เกี่ยวข้องและผู้สั่งการให้ตำรวจฆ่าประชาชนจะไม่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

ย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค.2551 ไม่เพียงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะถูกมองว่าตีสองหน้าจากกรณีที่ปากบอกว่าจะเน้นแก้ปัญหาวิกฤตบ้านเมืองด้วยการเจรจากับแกนนำพันธมิตรฯ แต่ในทางปฏิบัติกลับเปิดเกมรุกด้วยการให้ตำรวจจับกุมแนวร่วมพันธมิตรฯ อย่างนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ทั้งที่การเจรจาระหว่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ กับแกนนำพันธมิตรฯ กำลังดำเนินไปด้วยดี ใกล้ได้ข้อยุติ ไม่เท่านั้นรัฐบาลยังทำเหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟ ด้วยการจับกุมแกนนำพันธมิตรฯ เพิ่มอีก 1 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หลังออกจากทำเนียบรัฐบาลไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ส่งผลให้แกนนำพันธมิตรฯ ที่เหลือในทำเนียบฯ ต้องปลุกให้ผู้ชุมนุมและพันธมิตรฯ ทั่วประเทศลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมของนายสมชาย โดยแกนนำพันธมิตรฯ ได้ขอมติจากผู้ชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.ว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะเคลื่อนพลไปปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชายที่ขาดความชอบธรรมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7-9 ต.ค. ปรากฏว่าผู้ชุมนุมปรบมือตอบรับดังกึกก้อง จากนั้นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ได้นำผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปปักหลักหน้ารัฐสภา ตั้งแต่คืนดังกล่าว

ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี หลังทราบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มไปปิดล้อมรัฐสภา ได้เรียกประชุม ครม.ฉุกเฉินที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว สนามบินดอนเมือง ในช่วงดึกคืนเดียวกัน โดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.)ร่วมประชุมด้วย จากนั้นมีข่าวว่า ที่ประชุมมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบเจรจาคลี่คลายสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งนี้ นายสมชาย ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ครม.ดังกล่าวโดยยืนยัน จะแถลงนโยบายรัฐบาลที่สภาในวันที่ 7 ต.ค. ไม่เปลี่ยนสถานที่ ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วจะแก้ปัญหาพันธมิตรฯ อย่างไร นายสมชาย บอกว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดูแลความเรียบร้อย เมื่อถามว่า จะถึงขั้นสลายการชุมนุมหรือไม่ แม้นายสมชายจะไม่ตอบตรงๆ แต่ก็พูดในลักษณะส่งสัญญาณว่าตำรวจต้องสลายการชุมนุม โดยบอกว่า ตำรวจต้องดูแลให้เข้าประชุมได้ เพราะสภาเป็นที่ ส.ส.ที่ประชาชนทั้งประเทศเลือกมา ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่ให้เข้าประชุม มันไม่ถูก...

และแล้ว! รุ่งเช้าวันที่ 7 ต.ค.เวลาประมาณ 6.20น.กองกำลังของตำรวจซึ่งมีทั้งจากฝ่ายปฏิบัติการพิเศษ ,ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยอรินราช 26 นับพันนาย ก็ได้ปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยการยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และอาจมีอาวุธชนิดอื่นรวมอยู่ด้วย เช่น ระเบิด เข้าใส่ผู้ชุมนุม ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บนับร้อยราย บางรายถึงขั้นแขนขาด-ขาขาด โดยภาพความโหดร้ายป่าเถื่อนดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ได้ถูกตีแผ่ไปทั่วโลก และแทบไม่น่าเชื่อว่า เมื่อตำรวจสามารถเปิดทางด้วยการสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากเพียงเพื่อให้นายกฯ -รัฐมนตรี และ ส.ส.-ส.ว.เข้าประชุมสภาเพื่อรับฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาลได้ ทางนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลรวมทั้ง ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่ง ก็ยังมีกะจิตกะใจเข้าประชุมสภาแถลงนโยบายโดยไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้น

ขณะที่พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์รับไม่ได้จึงบอยคอตไม่เข้าประชุม เพราะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลได้ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้การประชุมสภาจะสามารถเปิดฉากขึ้นได้เพื่อให้รัฐบาลแถลงนโยบาย ซึ่งนายสมชายใช้เวลาอ่านนโยบายรัฐบาลแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเศษเป็นอันเสร็จสิ้น ทั้งที่ควรใช้เวลาแถลงและเปิดให้มีการอภิปรายเป็นเวลา 3 วัน

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะแถลงนโยบายได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถเดินทางออกจากสภาได้ เนื่องจากผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ได้กลับมารวมตัวปิดล้อมรัฐสภาอีกครั้ง ส่งผลให้นายสมชายรีบหนีเอาตัวรอดพร้อมลูกสาว(น.ส.ชินณิชา) และนายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกฯ ด้วยการปีนกำแพงข้ามไปยังพระที่นั่งวิมานเมฆ ก่อนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย

หลังจากนั้นประมาณ 16.00น.เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ยิงแก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้งนับร้อยลูกเพื่อเปิดทางให้รัฐมนตรี ส.ส.และ ส.ว.ที่ยังอยู่ในรัฐสภาออกมาได้ โดยก่อนหน้าการยิงแก๊สน้ำตาครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยิงแก๊สน้ำตาสกัดผู้ชุมนุมที่พยายามกลับมารวมตัวกันเป็นระยะๆ จนมีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม หลังผู้ชุมนุมแตกกระเจิงจากการยิงแก๊สน้ำตาชุดใหญ่ในเวลา 16.00น.ส่งผลให้รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว.รีบวิ่งออกจากรัฐสภาทันที และในเวลาไล่เลี่ยกับที่เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม ได้เกิดระเบิดขึ้นบริเวณรถจี๊ปเชอโรกีที่จอดอยู่ตรงข้ามพรรคชาติไทย ถ.สุโขทัยด้วย โดยมีผู้เสียชีวิตอยู่ข้างรถ 1 คน ทราบภายหลังว่าเป็นแกนนำพันธมิตรฯ จ.บุรีรัมย์ คือ พ.ต.ต.เมธี ชาติมนตรี อดีตตำรวจ สวป.บุรีรัมย์ ซึ่งทางตำรวจพยายามกล่าวหาว่า พ.ต.ต.เมธีขนระเบิดมาเตรียมก่อการแต่พลาดเอง ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯ สวนกลับว่า หาก พ.ต.ต.เมธีต้องการขนระเบิดมาก่อการจริง คงทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ต้องรอถึงวันที่ 7 ต.ค.

ทั้งนี้ เวลาประมาณ 19.00น.ผู้ชุมนุมที่หลงเหลืออยู่บริเวณรัฐสภาได้เคลื่อนมาสมทบผู้ชุมนุมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เนื่องจากเห็นว่า ส.ส.และรัฐมนตรีออกจากรัฐสภาได้หมดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปิดล้อมรัฐสภาอีกต่อไป แต่ปรากฏว่า ผู้ชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)ยิงแก๊สน้ำตาใส่อย่างหนักและต่อเนื่อง โดยตำรวจอ้างว่า ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกมาปิดล้อม บช.น.ได้ ส่งผลให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยบางรายขาขาด ขณะที่บางรายเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล คือ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ อายุ 27 ปี หรือน้องโบว์

วันต่อมา(8 ต.ค.) ศูนย์นเรนทร สรุปตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากกรณีเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมตลอดทั้งวันว่า มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 443 ราย(เป็นเด็ก 13 ราย) เสียชีวิต 2 ราย(ชาย 1 หญิง 1) ทั้งนี้ แม้สื่อมวลชนบางสำนักจะบันทึกภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมได้ว่า เจ้าหน้าที่ใช้ระเบิดในการสลายการชุมนุมด้วย แต่ทางตำรวจนครบาล พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กลับนำทีมแถลงยืนยันว่า ตำรวจใช้แค่แก๊สน้ำตา และไม่สามารถทำให้คนแขน-ขาขาดได้ โดยมีการสาธิตการยิงแก๊สน้ำตาให้ดูด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในการสาธิต ไม่ได้ยิงแก๊สน้ำตาให้โดนตัวหุ่นแต่อย่างใด

ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็อ้างว่า ผู้ที่บาดเจ็บแขน-ขาขาด หรือแม้แต่ น.ส.อังคณาที่เสียชีวิต น่าจะเกิดจากการพกระเบิดมาเองมากกว่า เมื่อตำรวจยิงแก๊สน้ำตาก็ทำให้ระเบิดดังกล่าวระเบิดขึ้น ทั้งนี้ คำอ้างของตำรวจที่ว่าผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดที่พกมาเองฟังไม่ขึ้น เพราะลักษณะบาดแผลของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตน่าจะเกิดจากแก๊สน้ำตาคุณภาพต่ำที่ตำรวจใช้ในการสลายการชุมนุมมากกว่า

ด้าน พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากที่ดูภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมพบว่า ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา 3 แบบยิงใส่ผู้ชุมนุม แบบแรกเป็นแก๊สน้ำตาที่ตำรวจนำมาสาธิตให้สื่อมวลชนดู ซึ่งสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ราคาแพง เมื่อยิง จะไม่มีการระเบิด ไม่มีลูกไฟ มีเพียงควันซึมออกมาเท่านั้น แต่อีก 2 แบบที่อันตรายซึ่งตำรวจนำมาใช้ด้วย แต่ไม่ได้นำมาสาธิตให้ดู ก็คือ แบบที่สั่งซื้อจากประเทศจีน ซึ่งราคาถูก มีความยาว 6 นิ้ว เมื่อยิงออกไป และตกหรือกระทบหรือชนกับวัตถุอื่นจะระเบิดเสียงดังเพื่อให้ควันแตกตัวออกจากพลาสติกที่เป็นทุ่นห่อหุ้ม ซึ่งการระเบิดดังกล่าวมีอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใกล้จุดระเบิด เพราะการยิงต้องใช้ความเร็วสูง และแบบที่สาม คือแก๊สน้ำตาแบบขว้าง จะมีกระเดื่องระเบิดอยู่ด้วย เมื่อใช้ต้องดึงกระเดื่องออก แล้วปาใส่พื้นที่เป้าหมายทำให้ระเบิดแล้วควันแตกตัว

พล.ต.ท.อัมพร ยืนยันด้วยว่า แก๊สน้ำตาแบบขว้างและแบบที่ซื้อจากจีน ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส ขาและแขนขาดได้ เพราะปืนที่ใช้ยิงแก๊สน้ำตามีความเร็วสูง ประมาณ 200 ฟุตต่อวินาที เมื่อแก๊สน้ำตากระทบหรือชนอวัยวะใดของร่างกาย จะเกิดการแตกหักได้ทันที และเมื่อแก๊สน้ำตาเกิดการระเบิดขึ้นก็จะทำให้อวัยวะที่หักอยู่แล้วขาดรุ่งริ่งได้

ขณะที่ พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ศพน้องโบว์ ก็ยืนยันเช่นกันว่า ลักษณะบาดแผลของน้องโบว์นั้นเกิดจากการถูกของแข็งเข้ามาปะทะด้วยความเร็วและมีความร้อน โดยการระเบิดของวัตถุที่เข้ามาปะทะนั้น เป็นการระเบิดใกล้ตัว ไม่ใช่ประชิดตัว ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจเกิดจากระเบิดแก๊สน้ำตาของจีนที่มีการใช้ในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. เพราะที่เสื้อผ้าและบาดแผลของน้องโบว์ พบทั้งแก๊สน้ำตาและสารอาร์ดีเอ็กซ์

“ในการชันสูตรศพ มันมีทั้งแก๊สน้ำตาอยู่ และพยาธิสภาพที่เกิดจากแรงระเบิด ซึ่งเราพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ เพราะฉะนั้นอะไรล่ะที่มันมีทั้งแก๊สน้ำตาและอาร์ดีเอ็กซ์ มันมีอะไรได้ที่มันจะทำ มันก็มีแก๊สน้ำตา (ถาม-คุณหมอเคยบอกว่า ลักษณะของบาดแผลเกิดจากแรงกระแทกของของแข็งที่มาด้วยความเร็วและมีความร้อน?) คือมันจะมาด้วยเกิดจากของแข็งนะ ที่มีแรงอัด และมาด้วยความเร็วและมีความร้อน ลักษณะที่พบมันเป็นแบบนี้ แต่วัตถุอะไรที่มีความเร็ว มีแรงอัด มีความร้อน มันคืออะไรล่ะ (ถาม-อาจจะเป็นแก๊สน้ำตาจากจีน?) ก็เป็นไปได้ แก๊สน้ำตาบางอย่าง วัตถุที่ออกมา แทนที่เขาจะใช้กลไกวาล์วธรรมดา เขาใส่ดินระเบิดเข้าไปเพื่อให้มันระเบิด มันจะได้เอาแก๊สออกมา อันนี้ก็ต้องไปดูชนิดของแก๊สน้ำตา สเป๊คแก๊สน้ำตาในประเทศต่างๆ ถ้าดูที่เขาทดลองที่คุณหญิงพรทิพย์ไปทดลองในกรมทหาร มีทั้งของอเมริกา ของสเปน ของจีนแดง ซึ่งจะเห็นว่าชนิดแรกๆ มันลงไป มันกระทบแล้วมันก็จะฟู่ออกมาเฉยๆ ไม่มีแรงระเบิดใช่มั้ย แต่อันหลังสุด(แก๊สน้ำตาจากจีน) ลงไปมันก็จะมีแรงระเบิด ตูม! แล้วแก๊สก็จะออกไป อันนี้คือกลไกในการปลดปล่อยแก๊ส”

ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะโฆษกคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ยืนยันว่า ข้อมูลที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้รับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจชันสูตรศพ น.ส.อังคณาหรือน้องโบว์ ชัดเจนว่า ลักษณะบาดแผลของน้องโบว์น่าจะเกิดจากระเบิดแก๊สน้ำตาของจีนที่ตำรวจใช้ ไม่ใช่พกระเบิดมาเองตามที่ตำรวจบางนายพยายามกล่าวหา

“จากลักษณะของบาดแผล วัตถุที่มากระทบน่าจะมากระทบทางด้านหน้า แขนซ้ายน่าจะอยู่ในท่างอข้อศอกในลักษณะถูกกระแทก มีรอยดำๆ จากการไหม้ กระดูกต้นแขนหัก มีเขม่าดำเป็นหย่อมๆ ในตัวบาดแผล ลักษณะบาดแผลต่อเนื่องถึงด้านหลัง ผิวหนังฉีกขาด เป็นลักษณะของบาดแผลที่ถูกกระทบเข้ามาทางด้านหน้าออกด้านหลัง พบกระดูกซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่ 1-12 หักเป็นแนวยาวในแนวดิ่งของร่างกาย เนื้อปอดด้านซ้ายฟกช้ำและฉีกขาด หัวใจทะลุ นอกจากนี้ยังพบแก้วหูข้างซ้ายทะลุ ม้ามฉีกขาด ไตซ้ายฉีกขาด ตับอ่อนบริเวณข้างซ้ายฉีกขาด จากลักษณะบาดแผลสันนิษฐานว่า เกิดจากของแข็งกระแทก ที่มีความร้อนและมีแรงอัด เข้าได้กับแรงระเบิด ก็คือสรุปได้ว่า น้องโบว์เสียชีวิตจากแรงระเบิด จากนั้นก็พูดถึงระเบิด และข้อสันนิษฐานที่ว่า น้องโบว์พกระเบิดมาเอง ซึ่งตอนนั้นเป็นวาทกรรมที่ตำรวจบางท่าน(พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก ตร.)ใช้ ไม่เป็นความจริง เพราะเราได้พบกระเป๋าที่น้องโบว์ถือในวันนั้น กระเป๋ายังอยู่ในสภาพดี เป็นไปไม่ได้ที่จะใส่ระเบิดอะไรมาในกระเป๋า”

ขณะที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พูดถึงกรณีที่ตำรวจแถลงว่า พบทั้งสารระเบิดซีโฟร์และอาร์ดีเอ็กซ์ที่เสื้อผ้าน้องโบว์ แต่ในแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้มีแต่สารอาร์ดีเอ็กซ์ ไม่มีสารระเบิดซีโฟร์ว่า จริงๆ แล้ว ทั้งอาร์ดีเอ็กซ์และซีโฟร์จัดว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยซีโฟร์เป็นเหมือนชื่อยี่ห้อหรือชื่อทางการค้า และว่า เรื่องแก๊สน้ำตาจากจีนที่ตำรวจใช้ในการสลายการชุมนุมนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีสารระเบิดซีโฟร์หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าแก๊สน้ำตาดังกล่าวมีสารอาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นสารระเบิดที่อันตรายผสมอยู่

“เราก็ตรวจออกไปแล้ว มันก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันน่ะ เขาจะพยายามบอกว่า(การเสียชีวิตของน้องโบว์)ไม่ได้ไปจากแก๊สน้ำตาเหรอ (ใช่ เขาพยายามบอกแบบนั้น) ปล่อยเขาไปเถอะ หมอขี้เกียจไปยุ่งด้วยแล้ว ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมพิจารณา (ถาม-อย่างนี้พูดได้มั้ยว่ามันมีทั้งอาร์ดีเอ็กซ์และซีโฟร์ที่แก๊สน้ำตา?) มันมีอาร์ดีเอ็กซ์ที่แก๊สน้ำตา ซีโฟร์มันเป็นชื่อที่ เหมือนชื่อยี่ห้อ ถ้าองค์ประกอบย่อยในซีโฟร์คืออาร์ดีเอ็กซ์ (ถาม-แสดงว่าเวลายิงแก๊สน้ำตา มันก็อาจจะมีทั้งอาร์ดีเอ็กซ์และซีโฟร์?) แก๊สน้ำตาเขาก็พิสูจน์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดเขาก็บอกอยู่แล้วว่า แก๊สน้ำตาน่ะมันมีตัวจุดชนวน ตัวจุดชนวนเนี่ยมันมีอาร์ดีเอ็กซ์ มีสารระเบิด มันมีอยู่แล้ว ตำรวจจะพยายามช่วยตำรวจหรือ ก็เลยงงๆ”

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.) ศาลอาญา ได้สั่งยกฟ้องคดีที่นายสิทธิพร โพธิโสดา ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ,พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ,พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ,พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน เป็นจำเลยในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย โดยชี้ว่า คดีไม่มีมูล

ฤาคดีนี้จะไม่สามารถเอาผิดอดีตนายกฯ ที่ต้องสงสัยสั่งฆ่าประชาชน รวมทั้งตำรวจที่มีส่วนในการใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาคร่าชีวิตประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบ!!
หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่กำลังขว้างใส่ผู้ชุมนุมคือแก๊สน้ำตาหรือระเบิดกันแน่
ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ต.ค.2551
ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ต.ค.51
น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ เสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ยิงใส่
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เดินหน้าแถลงนโยบายต่อสภาโดยไม่สนใจการสลายการชุมนุมที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่ภายนอก
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น