xs
xsm
sm
md
lg

“สื่อหลัก” หลับไหล-ตำรวจหมกเม็ด หญิงแกล้งบ้าหมิ่น“ในหลวง”ลอยนวล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นผ่านหน้าเว็บไซต์manager.co.thและสังคมออนไลน์ทะลุไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา กรณี นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ หญิงแก่วัย 63 ปี กระทำการมิบังควรต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตำรวจอ้างว่าวิกลจริตจะเผ่นกลับนิวซีแลนด์

ในขณะที่สื่อหลักหลับไหล ตำรวจไทยหมกเม็ด โซเชียลเน็ตเวิร์กก็เลยแชร์กันกระเจิง จนกระทั่งเกิดการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ได้รายละเอียดเที่ยวบินทีจี 491 เดินทางไปนิวซีแลนด์ มีชื่อ นางฐิตินันท์พร้อม นายนนทเศรษฐ แก้วจันทรานนท์ สามี ร่วมเดินทางด้วย ทำให้เกิดการรวมตัวไปดักรอเพื่อสกัดไม่ให้คนทรยศที่เหยียบย่ำหัวใจคนไทยหลบหนีลอยนวล

ข้อมูลที่ปรากฏในช่วงเวลานั้นสับสนอย่างแรง เพราะตำรวจบอกอายัดตัวห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และนางฐิตินันท์รักษาตัวรอการวินิจฉัยอาการจากแพทย์ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ในขณะที่การรายงานสถานการณ์จากสนามบินสุวรรณภูมิได้ข้อมูลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดย นายมงคลกิตติ์ สุขสิตธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ ซึ่งร่วมกับประชาชนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมหลายช่อง ว่านางฐิตินันท์ ได้เดินทางขึ้นเครื่องบิน TG941 เพื่อเดินทางไปนิวซีแลนด์แล้ว โดยตำรวจ ตม.เป็นผู้อารักขาให้ขึ้นเครื่องด้วยการใช้ช่องทางพิเศษ

ขณะที่กัปตันปฏิเสธการบิน และไล่นางฐิตินันท์ลงจากเครื่อง

ปรากฏการณ์นี้ควรจะถูกนำมาพิจารณาเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้แก่สังคมไทย เพราะเป็นบทสะท้อนความจริงวันนี้ได้อย่างดียิ่ง

เหตุผลที่ทำให้ข้อมูลสับสนเพราะประชาชนที่เคยเป็นแค่พลเมือง ต้องพลิกบทบาทมาเป็นผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์กันแบบหมัดเมา รวดเร็วผ่านเฟซบุ๊กแต่ก็ขาดการกลั่นกรองจนทำให้เกิดความสับสนด้วยเช่นเดียวกัน

สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นหาก “สื่อหลัก” จะทำหน้าที่ของตัวเอง ติดตามทำข่าวเรื่องนี้อย่างเกาะติดเพราะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และปรากฏข้อมูลชัดแต่ต้นว่า ตำรวจมีท่าทีรวบรัดสรุปคดีว่า นางฐิตินันท์ วิกลจริต เอาผิดไม่ได้ ตามคำพูดของ พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบ.ชน. แต่ “สื่อหลัก” ก็ทำตัวเสมือนตายไปแล้วจากโลกแห่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

เสมือนว่า “สื่อหลัก” เหล่านี้มิได้เจ็บปวด อนาทรร้อนใจ ต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงแก่รายนี้ ที่บังอาจถึงขนาดเตะพระบรมฉายาลักษณ์ที่คนอื่นเทิดทูนไว้เหนือเกล้า

ไม่มีการตรวจสอบว่า เหตุใดหญิงวิกลจริตที่มีภูมิลำเนาอยู่นิวซีแลนด์ จึงมีความสามารถในการเล่นเฟซบุ๊ก ท่องเว็บหมิ่นฯ และเดินทางไปยังศาลรัฐธรรมนูญในวันสำคัญที่กำลังจะมีการตัดสินคำร้องร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่

แถมยังเข้าฉากเหยียบหัวใจคนไทยในช่วงไพรม์ไทม์ที่ ผู้ชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญจัดระเบียบให้ช่างภาพถ่ายรูปพอดิบพอดี จนกระทั่งแทบทุกฉบับได้ภาพพฤติกรรมชั่วใจทรามนี้กันถ้วนหน้า

พอถูกตำรวจรวบตัวไป ญาติแสดงหลักฐานทันทีว่าเป็นบ้า แต่คนบ้าที่หวิดโดนรุมประชาทัณฑ์มีสติสัมปชัญญะที่จะตอบคำถามคนไทยที่เข้าไปถามด้วยความเจ็บปวดว่า ทำอย่างนี้ทำไม ด้วยถ้อยคำที่ไม่ใช่เรื่องของคนบ้า “ทำไมฉันไปเตะรูปในหลวงของเธอเหรอ ดีนะที่ฉันไม่เตะเธอด้วย”

นี่มันไม่ใช่ คนวิกลจริต สติฟั่นเฟื่อน แต่เป็นพวกคลั่งที่ถูกล้างสมองจนแยกแยะถูก ผิด ดี ชั่ว ไม่ได้ เพราะมัวแต่ไปกด Like ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดิศร เพียงเกษ ขวัญชัย ไพรพนา ฯลฯ

แต่ข่าวหญิงแก่ชั่วรายนี้หายไปกับสายลม ไม่มีการแถลงความคืบหน้าราวกับเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่จราจรจับหมวกกันน็อค ทั้งที่เป็นเรื่องสะเทือนใจคนไทยทั้งชาติอย่างยิ่ง

เมื่อสื่อไม่ทำหน้าที่ พลเมืองก็เลยกลายเป็นนักข่าว หน้าเพจบนเฟซบุ๊คกลายเป็นช่องทางการสื่อสาร จนนำไปสู่การรวมพลคนรักในหลวงอย่างรวดเร็ว

อะไรทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งต้องเดินทางไปที่สุวรรณภูมิ ถ้าไม่ใช่เพราะสังคมในปัจจุบันกำลังเข้าสู่วิกฤตศรัทธาต่อตำรวจอย่างรุนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะคนในสังคมเขาไม่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อตำรวจอีกต่อไป แม้จะมีคำยืนยันว่ายึดพาสปอร์ต ส่งตัวไปโรงพยาบาลบ้า แต่กลับไม่มีใครเชื่อน้ำคำตำรวจแม้แต่น้อย

ถ้าไม่ใช่เพราะคนในสังคมนี้เขาซึมซับว่า รัฐบาลนี้ไม่เคารพกฎหมาย พร้อมช่วยพรรคพวกให้พ้นผิดด้วยการย่ำยีกระบวนการยุติธรรม นับประสาอะไรกับการแอบพาหญิงแก่คนหนึ่งออกนอกประเทศ คนไทยโง่ๆ ก็คงจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ฯลฯ

ถามว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำอะไร ถึงได้ทำให้คนไทยขาดความไว้วางใจได้ขนาดนี้ เอาง่ายๆ แค่ว่า ขนาดว่าที่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ยังหอบสังขารไปกราบหว่างขา นักโทษหนีคดีถึงดูไบ เพื่อตำแหน่งสูงสุดในรั้วปทุมวัน แล้วคนไทยจะหวังอะไรกับ “ผู้พิทักษ์ระบอบแม้ว” ได้อีก

ตลอดเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่เคยมีการแถลงความคืบหน้าจากตำรวจ ไม่เคยมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า

ทำไมคนบ้าจึงเล่นเฟซบุ๊ก ท่องเว็บหมิ่นฯ ทำไมคนในครอบครัวจึงปล่อนคนบ้าไปกระทำการมิบังควรเช่นนี้ ทำไมคนบ้าจึงเดินทางออกนอกประเทศได้ ทำไมคนบ้าเข้าไปให้กำลังใจคนที่ตัวเองคลั่งไคล้ได้

ตำรวจไทยเคลียร์หมดเข้าใจทุกอย่าง ในขณะที่ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยคำถาม จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนเลือกที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง โดยไม่ฟังตำรวจอีก

ในขณะที่ประชาชนรู้อยู่เต็มอกว่า รัฐบาลชุดนี้ก็มิได้แตกต่างไปจากกลุ่มคนที่มีทัศนคติเป็นอันตรายต่อสถาบัน เขาจึงไม่เชื่อน้ำยาว่าจะจับพวกเดียวกันเข้าคุก

สิ่งที่ตำรวจไทยควรจะได้ตระหนักและสำนึกไว้เหนือเกล้าแม้ไม่ได้เป็นทหารพระราชาคือ

“เตือนใจทหารพระราชา.... กระบี่ได้พระราชทาน

เพื่อประหารทรราชให้ดับสูญ ใช้ปกป้องประเทศชาติให้จำรูญ

ใช้เทิดทูนพิทักษ์กษัตรา ขอใช้คมกระบี่พิทักษ์ราชย์

ทรราชอย่าคิดชีวิตอยู่ จะฟาดฟันฝ่าให้น่าดู เพื่อเชิดชูวีรชนคนเจริญ

แม้วันใดคิดคดทรยศ ขอจงอย่างดเว้นแต่แม้ตัวข้า

ขอกระบี่จงย้อนกลับทิ่มกายา ของตัวข้าจนสิ้นดับลับโลกไป

อันกระบี่นี้ศักดิ์สิทธิ์ ทรงมหิทธิ์ฤทธิผลาญ

มลายล้วนมวลหมู่มาร พิฆาตเข่นทรชน

ปกปักรักษ์ประชา ป้องผู้กล้ากอร์ปกุศล

ผู้ถือคือศักดิ์ตน เป็นไพร่พลองค์ราชัน”

แต่อย่างว่าละนะ ขนาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่คนเข้าใจว่าเป็นผู้ร่ายบทกวีจนซาบซึ่งท้่วบ้านเมือง ยังแสดงอาการรังเกียจออกมาปฏิเสธว่า ประยุทธ ในเฟซบุ๊คเป็นตัวปลอม ของจริงต้องเดินตามก้น ยิ่งลักษณ์ แล้วจะเอาอะไรกับ ตำรวจที่ได้รับพระราชทานกระบี่ไม่แตกต่างกัน

วันนี้ประเทศไทยเลยมีแต่ “นายกฯ ปลอม ทหารปลอม ตำรวจปลอม ฯลฯ “มีแต่ประชาชนที่เป็นของจริงและพร้อมจะลุกขึ้้นสู้เพื่อเป็นไพร่พลองค์ราชัน
กำลังโหลดความคิดเห็น