“ทีมผู้ร้อง” พร้อมส่งคำแถลงปิดคดี รับวิตกอันตราย ปธ.สภากุมอำนาจแต่ผู้เดียว หากศาลยกคำร้อง เล็งย้อนคำไต่สวนฝ่ายผู้ถูกร้องมัดคอตัวเอง แยกยื่น 4 ประเด็น มันใจข้อมูลครบให้ศาลเชื่อฝ่ายผู้ถูกร้องมีแนวคิดล้มล้างสถาบันหลักและสถาปนาการปกครองเป็นรัฐไทยใหม่จริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 ก.ค.) นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 68 หรือไม่ เปิดเผยว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดี แบบลายลักษณ์อักษร ในวันที่ 11 ก.ค. ล่าสุดผู้ร้องทั้ง 5 คน ประกอบด้วย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้ร้องที่ 1 นายวันธงชัย ชำนาญกิจ ผู้ร้องที่ 2 ตนในฐานะผู้ร้องที่ 3 นายวรินทร์ เทียมจรัส ผู้ร้องที่ 4 และนายบวร ยสินทร ผู้ร้องที่ 5 ต่างจัดทำคำแถลงปิดคดีเสร็จสิ้นแล้ว โดยจัดทำแยกเป็น 5 ฉบับ และตนได้นัดหารืออีกรอบเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกันก่อนที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 11 ก.ค.ภายในเวลาที่นัดหมาย ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่าการเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องที่พยายามกดดันทุกวิถีทาง เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคำร้องที่ยื่นไปเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ แต่หากศาลยกคำร้องก็ถือว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ เนื่องจากอำนาจจะตกอยู่ในมือของประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงผู้เดียว
นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ผู้ร้องแต่ละคนจะทำคำชี้แจงแถลงการปิดคดีในลักษณะต่างคนต่างทำ เพื่อแยกกันยื่นต่อศาล เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลและมุมมองด้านกฎหมายทั้งที่สอดคล้องและต่างกัน แต่ล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนของคำแถลงปิดคดีนายวิรัตน์ มีการสรุปรวม 4ประเด็น รวมถึงการนำถ้อยคำในส่วนของพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง ที่ได้ยอมรับไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญในชั้นไต่สวนที่เจือสมกับคำให้การของพยาน โดยแยกเป็นบุคคลต่างๆ อาทิ ในส่วนของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยและมวลชนผู้สนับสนุนพรรคหรือคนเสื้อแดงมีการดำเนินกิจกรรมทั้งในสภาและนอกสภาในลักษณะการเดินสองขา หรือกรณีของนายโภคิน พลกุล ที่รับรองบันทึกถ้อยคำที่ให้กับศาลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับทำไม่ได้ ซึ่งรายละเอียดในเรื่องเหล่านี้ จะขอเปิดเผยในวันที่แถลงปิดคดีต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ส่วนคำแถลงปิดคดีของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม จะเน้นข้อมูลข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่มาตรา 291 ไม่ได้ให้อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเน้นถึงพฤติกรรมการล้มล้างการปกครอง โดยเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่มีแนวคิดและพฤติกรรมหมิ่นสถาบันหลักของชาติ เช่นเดียวกับคำแถลงปิดคดีของนายวิรัตน์เน้นให้เห็นถึงเจตนาของการล้มล้างการปกครอง ที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการเบิกความที่ผ่านมาทำให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ทั้งการล้มรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบันหลักและสถาปนาการปกครองเป็นรัฐไทยใหม่
