คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนฯ เชิญตัวแทนจากภูมิภาคแจงโกงสอบเข้ารับราชการเป็นนายสิบตำรวจ ผู้บังคับการกองการสอบยืนยันเตรียมแผนป้องกันการทุจริตในการสอบรอบ 2 ไว้แล้ว
ที่รัฐสภา วันนี้ (26 มิ.ย.) มีการประชุมคณะกรรมาธิการตำรวจ ที่มีนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมาธิการเป็นประธานการประชุม โดยได้พิจารณาการทุจริตการสอบคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจนายสิบหรือชั้นประทวน พ.ศ. 2555 และได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง
โดย พล.ต.ต.พรหมธร ภาคอัต รองผู้บัญชาการศึกษา กล่าวว่า ในวันที่ 10 มิ.ย. 2555 เป็นวันสอบคัดเลือกและพบว่ามีการทุจริตในการสอบตำรวจภูธรภาค 2, 3, 5, 6 และ 9 ซึ่งในสนามอื่นตรวจสอบไม่พบ ทั้งนี้ผู้บัญชาการได้เรียกประชุมคณะทำงาน 4 ชุด ดังนี้ ชุดที่ 1 ดำเนินการสืบสวนการกระทำความผิดทางอาญา ชุดที่ 2 ดำเนินการสืบสวนขั้นตอนของการกระทำความผิดทางวินัย ชุดที่ 3 คณะกรรมการศึกษาแนวทางเมื่อมีการประกาศยกเลิกการสอบและวิธีป้องกันการทุจริต ชุดที่ 4 คณะกรรมการศึกษาดูแลเรื่องการนำเครื่องมือที่จับได้มาทดสอบ เพื่อสืบไปยังตัวผู้กระทำความผิด
พล.ต.ต.จักรกฤษศณ์ สิงห์ศิลารักษ์ ผู้บังคับการกองการสอบ กล่าวว่า ได้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. - 3 พ.ค. 55 โดยแบ่งการสมัครออกเป็น 2 สาย คือ สายป้องกันและปราบปรามรับสมัคร 9,500 อัตรา และสายกลุ่มงานอำนวยการและสนับสนุน 500 อัตรา โดยการออกข้อสอบได้รับการสนับสนุนอาจารย์จากกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม ข้อสอบแบ่งเป็น 4 ชุด แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้มีการพยายามทุจริตข้อสอบ ทางกองการสอบจึงได้ทำรหัสชุดข้อสอบขึ้น (บาร์โค้ด) แทนการบอกเลขชุดข้อสอบ ซึ่งผู้สอบจะไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นข้อสอบชุดใด ทั้งนี้ได้ออกข้อสอบระหว่างวันที่ 7-10 มิ.ย. ซึ่งกว่าจะพิมพ์ข้อสอบเสร็จและจัดส่งถึงสนามสอบตามภูมิภาคต่างๆ คือวันที่ 10 มิ.ย. เวลา 08.30 น. หลังจากนั้นก็จะมีการตรวจเช็กข้อสอบว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ ก่อนที่จะมีการเริ่มสอบในเวลา 13.30 น.
นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ.กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจวงในที่ถือข้อสอบตั้งแต่การทุจริตครั้งปี 53 แล้วสร้างเครือข่ายไว้ ซึ่งถ้าไม่เร่งแก้ไขจุดนี้เชื่อว่ากระบวนการก็จะซ้ำรอยอีก ดังนั้นจึงต้องรีบสอบสวนให้ถึงต้นตอเร็วที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นก็จะได้คนโกงมาทำหน้าที่ แล้วประชาชนจะไว้วางใจได้อย่างไร
ด้าน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย ในฐานะรองประธาน กมธ. กล่าวว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าการทุจริตสอบนายสิบในปี 53 ไม่มีการตัดสิทธิ์ผู้สอบ แต่ในปี 55 กลับตัดสิทธิผู้ที่ทุจริตทั้งหมดและส่วนที่เหลือจัดให้มีการสอบใหม่ ซึ่งอาจมองว่าเป็นสองมาตรฐานได้ เนื่องจากขณะนี้ได้มีตำรวจนายหนึ่งร้องเรียนมายัง กมธ.ตำรวจและแจ้งความจับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้ว ฐานะลงนามแต่งตั้งและบรรจุผู้ที่ทุจริตในปี 53 เป็นข้าราชการตำรวจ อย่างไรก็ตาม มติที่ประชุมสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ครั้งที่ 7 ตามที่ได้กำหนดคุณสมบัติผู้ที่สามารถสมัครสอบคัดเลือกระดับชั้นนายสิบให้มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีวุฒิการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือชั้น ปวช.นั้น ตนเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะให้คนอายุ 18 มาบังคับใช้กฎหมาย เพราะยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ
หลังจากนั้น ที่ประชุมกรรมาธิการได้เชิญผู้แทนจากภูธรภาคต่างๆ ที่เกิดการทุจริตสอบชี้แจง โดยพบว่า เครื่องมือที่ใช้สื่อสารมีลักษณะเช่นเดียวกันทั้งหมด คือมีลักษณะคล้ายแบตเตอรี่ห่อหุ้มด้วยพลาสติกสีเขียวและซ่อนอุปกรณ์ดังกล่าวใกล้วอวัยวะ และผู้ที่ทุจริตมีพฤติกรรมเดียวกัน คือมีการทดจำนวนสระและวรรณยุกต์ไว้ในกระดาษข้อสอบ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าการจับกุมคนร้ายต้นตอที่เป็นตัวเชื่อมประสานระหว่างผู้ปฏิบัติระดับบนและระดับล่าง ซึ่งยังไม่สามารถจับกุมตัวได้ คือ นายวิบูลย์ศักดิ์ หรือนายกฎษฎา แสนจักร และนายดาชัย อุชุโกศลการ ผู้เชื่อมโยงการสอบทุจริตของสนามสอบภูธรภาค 2, 3 และ 5 และยังพบว่า เป็นผู้สมัครนายก อบจ.จังหวัด ลำปาง ทั้งนี้ ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทางกรรมาธิการได้ซักถามถึงมาตรการป้องกันการทุจริตในการสอบครั้งหน้าจะทำอย่างไร พล.ต.ต.จักรกฤษศณ์ชี้แจงว่า ตนได้วางแนวป้องกันการนับวรรณยุกต์และสระไว้แล้ว รวมถึงการสรรหาสถานที่สอบที่สามารถรองรับผู้สมัครสอบได้เป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณทั่วถึง
พล.ต.ต.ดิสทัต ภูริปโชติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กมธ.กล่าวว่า ขอชื่นชมของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่สามารถพบการทุจริตและพยายามจับตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย แต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นการกระทำแค่ปลายน้ำ ออกหมายจับได้แค่เฉพาะตัวเล็กๆ ดังนั้นจึงอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดแบบถอนรากถอนโคน
