“ยิ่งลักษณ์” ลุยยุทธศาสตร์ป้องกันทุจริต น้อมนำหลักการทรงงานในหลวง ด้วยวิธี “ระเบิดจากข้างใน” ผุดโครงการ “1 หน่วยงาน 1 ข้อเสนอ” ให้ส่วนราชการทุกกระทรวงเสนอแนวทางวางระบบลดการคอร์รัปชัน โดยให้สรุปเสนอภายใน 30 วัน
ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น วันนี้ (6 มิ.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ในงานนิทรรศการและการสัมมนาผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2551-2555) ภายใต้แนวคิด “รวมพลังเดินหน้าฝ่าวิกฤตคอร์รัปชัน” ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมกากรป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. องค์กรภาคการเมือง องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรภาคสื่อมวลชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน รวม 700 คนเข้าร่วมการสัมมนา
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวตอนหนึ่งว่า การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระของประเทศและคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมกันรณรงค์ให้เกิดเป็นกระแสสังคม ไม่ให้วงจรทุจริตคอร์รัปชันกลับเข้ามาสู่ประเทศไทย โดยปัญหาคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่พบในหลายภาคส่วน ทั้งภาคราชการหรือเอกชน ที่เป็นวงจรสั่งสมกันมานาน ซึ่งไม่อยากเห็นการสั่งสมมานานนี้กลายเป็นวัฒนธรรมของคนไทย หรือกลายเป็นความคุ้นเคยว่าสิ่งที่ไม่ถูก มีการทำมากขึ้นแล้วกลายเป็นสิ่งที่ถูก ทุกคนจึงต้องร่วมกันรณรงค์สร้างกระแสการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันเพื่อไม่ให้วงจรคอร์รัปชันกลับคืนสู่ประเทศไทยอีก
จากที่ผ่านมาภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทย ยังอยู่ในคะแนนที่น่าใจหายที่ 3.4 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งวันนี้ถ้าเทียบความโปร่งใสกับนานาชาติแล้ว ประเทศไทยยังมีคะแนนด้อยกว่าสิงคโปร์และมาเลเซียซึ่งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน หรือถ้าดูเรื่องประสิทธิภาพระบบราชการในปี 2554 โดยบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ หรือ PERC ที่ผลปรากฏคะแนนของประเทศไทยอยู่ที่ 5.25 ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมใจกันทำให้ขบวนการคอร์รัปชั่นได้หมดไปหรือลดน้อยลงไป
ทั้งนี้ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจที่จะมาลงทุน ต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนของไทยด้วย ซึ่งรัฐบาลเห็นความสำคัญในเรื่องนี้โดยได้บรรจุวาระเรื่องการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นให้เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเชื่อว่าถ้าเราร่วมกันทำอย่างจริงจัง ทำในหน้าที่ของตนเองในการช่วยกันสอดส่องไม่ให้เกิดกระบวนการนี้ ตนเชื่อว่าวงจรนี้จะไม่หวนกลับคืนมา แม้ว่าเป็นสิ่งที่ยากก็ตาม แต่เชื่อว่าด้วยพลังใจของพวกเราก็จะฝ่าฟันไปได้ที อีกทั้งรัฐบาลได้มีการประกาศเจตนารมณ์ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ ในเรื่องของยุทธศาสตร์การต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นขึ้น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา และได้ไปประกาศร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้มีฐานะเป็นผู้ที่ร่วมกันทำงาน เพราะเชื่อว่าการทำงานถ้าดูจากประเทศที่จัดอยู่ในอันดับปัญหาคอร์รัปชันน้อยที่สุดอย่างประเทศสิงคโปร์ หรือประเทศที่อยู่ในระดับต้นๆ นั้นก็มีวิธีการบริหารส่วนหนึ่งคืออยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี และมีกฎหมายบังคับใช้อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงร่วมมือกับทุกภาคส่วนรวมถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการทำงานนี้อย่างเข้มแข็งร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ใดก็เชื่อว่าปลายทางคือคำตอบเดียวกัน และจะสามารถทำงานร่วมกัน เอื้ออำนวยกันได้
โดยยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ได้มีการวางไว้ คือ 1. เน้นการปลูกจิตสำนึกและตระหนัก โดยจะร่วมกันปลูกจิตสำนึกในส่วนของผู้ที่ทำงานทั้งหมดทั้งกระบวนการ เพื่อให้อยู่บนค่านิยมที่ถูกต้อง 2. การพัฒนาองค์กรบนหลักการของความโปร่งใส สุจริต และร่วมกันลดความเสี่ยงของช่องทางที่จะเกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และที่สำคัญต้องไม่ให้เกิดวัฒนธรรมในการซื้อขายตำแหน่ง เพราะจุดเริ่มต้นถ้ามีการซื้อขายตำแหน่ง สุดท้ายแล้ววงจรคอร์รัปชันจะกลับเข้ามา
3. การปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย ให้เป็นข้อกฎหมายที่สร้างให้เกิดความโปร่งใส ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่จะเป็นการเพิ่มปัญหาอุปสรรคหรือภาระกับภาคธุรกิจ หรือภาคเอกชน หรือความล่าช้าของขบวนการทำงาน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญและยาก แต่เชื่อว่าถ้าทำให้ถูกทางแล้วจะทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมถึงให้มีการตรวจสอบระวังต่างๆ ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งหน่วยงานในการติดตามการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และเปิด หมายเลขฮอตไลน์ ป.ป.ช. 1205 เพราะรัฐบาลไม่อยากเห็นกระบวนการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นในระบบของสังคมไทย
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า รัฐบาลได้วางแนวทางการทำงานต่างๆ โดยได้น้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เรียกว่า การทำงานนั้นต้องระเบิดจากข้างใน ที่โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลจะทำในการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันนั้นอยากให้เกิดจากข้างใน เพราะเชื่อว่าข้างในคือผู้ปฏิบัติจะรู้ดีที่สุด จะสามารถบอกได้ถึงจุดความเสี่ยง จุดป้องกัน และจุดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน รัฐบาลจึงได้สรุปยุทธศาสตร์แล้วจัดทำโครงการ 1 หน่วยงาน 1 ข้อเสนอ ให้ส่วนราชการทุกกระทรวง ทุกจังหวัด ทุกหน่วยงานต่างๆ เสนอโครงการจากข้างใน เพื่อจะร่วมกันวางปรับระบบหรือขบวนการใหม่ ให้ลดปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ที่กำหนดให้ทำภายใน 30 วัน ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดและทุกๆ ภาคส่วนจะร่วมกันสรุปข้อเสนอทั้งหมด ประมาณสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้จะเห็นโครงการต่างๆ ที่คณะกรรมการได้คัดเลือกแล้ว โดยจะมีการให้ทุนหรือให้ข้อมูลสนับสนุนเพื่อลงไปขยายผลต่อในหน่วยงานนั้น รวมถึงจะมีการติดตามอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม การปราบปรามคอร์รัปชันเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ต้องมีการรณรงค์ให้กำลังใจผู้ที่ทำดี ประพฤติดี และมีคุณธรรมในการทำงานให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ดีและถูกต้องขององค์กรด้วย ดังนั้น รัฐบาลจะทำทั้งในเชิงการรณรงค์ให้มีการแก้ปัญหาและการยกย่องคุณงามความดีของผู้ที่ทำดีควบคู่กันไป พร้อมกับยืนยันว่า รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจะร่วมทำงานกับข้าราชการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายอื่นๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงของการต่อต้านวงจรทุจริตคอร์รัปชัน แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนจะต้องร่วมกันทำ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเจริญเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน