xs
xsm
sm
md
lg

“นักข่าวไทยรัฐ” ไม่เชื่อ “เพจสายตรงภาคสนาม” เป็นคนข่าวตัวจริง ซัดอย่าเป็นอีแอบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทวิตเตอร์ @Mr_sumeth
“สุเมธ” ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ มึน “เพจสายตรงภาคสนาม” อ้างเป็นการรวมตัวของนักข่าวภาคสนาม แต่นักข่าวภาคสนามตัวจริงกลับไม่มีใครรู้เรื่อง จี้เปิดเผยตัว อย่าเป็นอีแอบหลังม่าน ด้าน “เพจสายตรงภาคสนาม” โต้กลับอย่าใช้อคติตัดสิน ยันไม่ใช่เครื่องมือนักการเมือง ที่ไม่เผยตัวเหตุกังวลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากต้นสังกัด

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. นายสุเมธ สมคะเน ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว "Sumeth Somkanae‏ (@Mr_sumeth)" ถึงกรณี “เพจสายตรงภาคสนาม” ที่มีการอ้างว่าเป็นการรวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนามจากหลากหลายสังกัด ทั้งนี้หลังจากการเปิดเพจเมื่อ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ถึงตอนนี้มีคนกดไลก์เพื่อร่วมเป็นสมาชิกแฟนเพจแล้วเกือบ 1 หมื่นคน

โดยนายสุเมธระบุว่า ไม่ทราบว่าคนสร้างเพจ “สายตรงภาคสนาม” เป็นใคร และมีวัตถุประสงค์อะไร ในการสร้างเพจขึ้นมาในสถานการณ์สับสนวุ่นวายแบบนี้ อีกทั้งอ้างว่าเป็นที่รวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนาม แต่นักข่าวภาคสนามตัวจริงไม่มีใครรู้เรื่อง ถ้าเป็นนักข่าวภาคสนามจริง ต้องกล้าหาญเยี่ยงคนภาคสนาม อย่าเป็นอีแอบหลังม่าน เปิดหน้าแสดงความคิดเห็น ผิดถูกอย่างไรก็ดีกว่าเป็นอีแอบคาบคัมภีร์เอามวลชนเป็นโล่กำบัง พร้อมเรียกร้องให้ผู้สร้างเพจสายตรงภาคสนามแสดงตัวและเปลี่ยนชื่อ เพื่อไม่ให้นักข่าวภาคสนามทั้งหมดถูกมองอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อ

ข้อความจากทวิตเตอร์ @Mr_sumeth มีดังนี้

ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้ ทุกสายตาและหลากหลายคำถาม ต่างพุ่งมาที่ผมว่า รู้จักกลุ่ม “สายตรงภาคสนาม” ที่อ้างเป็นสื่อภาคสนามใน FB หรือไม่

บอกตรงๆ ไม่รู้จัก และไม่คิดว่าจะให้ความสำคัญ...ถ้า...ไม่มีคนเข้าใจผิดคิดว่า เครือข่ายพี่น้องภาคสนามที่ทำงานข้างถนนไปมีส่วนเกี่ยวข้อง!!!

ไม่ทราบว่า คนสร้างเพจ “สายตรงภาคสนาม” เป็นใคร และมีวัตถุประสงค์อะไร ในการสร้างเพจ FB ขึ้นมาในสถานการณ์สับสนวุ่นวายแบบนี้

เป็นเรื่องอัศจรรย์มากที่เพจสายตรงภาคสนามอ้างตัวว่าเป็นที่รวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนาม แต่นักข่าวภาคสนามตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ไม่มีใครรู้เรื่อง

แม้ว่าในสนามข่าวจะมีคนทำงานข่าวเป็นร้อยเป็นพัน แต่วงการนี้มักแคบ ถ้ามีการรวมกลุ่มจริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นักข่าวภาคสนามจะงุงงงสงสัยที่มา

ที่สำคัญ กลุ่มเครือข่าย นักข่าวภาคสนามมักมีการรวมตัวอย่างเงียบๆ ช่วยเหลือกันในแต่สวัสดิการ สวัสดิภาพคนข่าวภาคสนาม ไม่ใช่เคลื่อนไหวการเมือง

แต่ไฉน ผู้สร้างเพจสายตรงภาคสนาม ซึ่งอ้างว่าเป็นกลุ่มนักข่าวภาคสนาม ใช้คำว่า "นักข่าวภาคสนาม" มาเคลื่อนไหวทางการเมือง หวังผลอะไร??

นานมา และบ่อยครั้ง พวกเราคนทำงานข่าวภาคสนามต่างแสดงท่าทีชัดเจน ว่า เราไม่มีสีการเมืองในการทำหน้าที่บนสนาม ไฉนเพจสายตรงภาคสนามมาเลือกข้างให้?

ที่ผ่านมา คนภาคสนามไม่ว่าเครือข่ายสายการเมือง อาชญากรรม เศรษฐกิจ ถ้ามีอะไรจะมีแถลงการณ์จากสนามข่าวเลย ไม่สร้างเพจแบบนี้หรอกนะ

เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ที่เพจสายตรงภาคสนามอ้างตัวว่า เป็นที่รวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนาม แต่นักข่าวภาคสนามตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ไม่มีใครรู้เรื่อง

ถ้าเป็นนักข่าวภาคสนามจริง ต้องกล้าหาญเยี่ยงคนภาคสนาม อย่างเป็นอีแอบหลังม่าน สร้างเพจสายตรงภาคสนาม ให้คนเข้าใจผิดพี่น้องภาคสนามไปกว่านี้

ในฐานะที่เป็นแอดมินกลุ่มนักข่าวข้างถนน FB ขอบอกว่า “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้สร้างเพจสายตรงภาคสนาม

ไม่ว่าใคร มีความคิดและอุดมการณ์ส่วนตัวอย่างไร แต่คนข่าวภาคสนาม หาใช่เบ๊รับใช้ นักการเมือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

มันง่ายมากนะ ไม่สร้างเพจส่วนตัว แต่สร้างเป็นแฟนเพจ ให้คนมากดไลค์เพื่อติดตาม จะได้เหมารวมว่า มีคนเห็นด้วยเป็นพวกเดียวกัน ทุเรศมากนะ

คนข่าวภาคสนามมีวิถีและกระบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพในการรายงานข่าวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องสร้างเพจหวังผลทางการเมืองแบบนี้เน่าๆ แบบนี้นะ

เรียกร้องให้ผู้สร้างเพจสายตรงภาคสนามแสดงตัวและเปลี่ยนชื่อ เพื่อไม่ให้นักข่าวภาคสนามทั้งหมดถูกมองอย่างที่คุณโฆษณาชวนเชื่อ via@sataporn_tpbs

เปิดหน้าแสดงความคิดเห็น ผิดถูกอย่างไร ก็ดีกว่าเป็นอีแอบคาบคัมภีร์เอามวลชนเป็นโล่ห์กำบัง

คำว่า “นักข่าวภาคสนาม” ไม่มีใครจดลิขสิทธิ์ไว้หรอก แต่มันหมายถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ทำงานในสนามข่าวเยี่ยงมืออาชีพ เปิดเผย ตรงไปตรงมา

การหลบซ่อนและปิดบังอำพรางตัว ไม่กล้ายืนหยัดต่อสู้ให้ข่าวสารประชาชนอย่างเปิดเผยในเวทีสาธารณะ นั้นพึงสมควรเป็น “นักข่าวภาคสนาม” ฤๅ

เป็นนักข่าวภาคสนามต้องพร้อมทำข่าวรายงานข่าวทุกข่าว ทุกด้าน หาใช่เลือกแต่รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม พวกพ้อง ตัวเอง

เป็นนักข่าวภาคสนามไม่มีสิทธิเลือกที่รัก มักที่ชัง ในระหว่างการทำหน้าที่ในสนามข่าว ข้อเท็จจริงตรงหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรายงาน

เป็นนักข่าวภาคสนาม ถ้าทำถูกต้องทั้งจริยธรรมและวิชาชีพ ย่อมไม่ต้องหวั่นเกรงใครรังแก เพราะพี่น้องในสนามข่าวจะช่วยปกป้องเกื้อหนุน

ในโลกโซเซียลมีเดีย มีนักข่าวภาคสนามนับร้อยชีวิต แสดงความคิดเห็นส่วนตัวในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างเปิดเผย ไม่เป็นมีใครโดนต้นสังกัดคุกคามปิดปาก

สิ่งจะทำให้สื่อต้นสังกัดจ้องคุกคามปิดปากนักข่าวภาคสนามของตน คือการวิพากษ์เรื่องสวัสดิการสวัสดิภาพแรงงาน หาใช่การวิพากษ์การเมือง

การกรองข่าวก่อนนำเสนอสู่สาธารณะเป็นเรื่องดี แต่การกรองข่าวแต่เพียงด้านเดียวในประชาชนเสพ ก็ไม่ต่างกับการมอมเมาประชาชนเช่นกัน
“เพจสายตรงภาคสนาม” โต้กลับ ไม่ได้หวังผลทางการเมือง

หลังจากนั้นทาง “เพจสายตรงภาคสนาม” ก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยมีใจความว่า นายสุเมธ ใช้อารมณ์และอคติเป็นตัวตั้ง ในการตัดสินว่าเพจนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อเลือกข้างรับใช้นักการเมือง ส่วนที่ไม่เปิดเผยตัวตนก็เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระในการแสดงความเห็น โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากต้นสังกัดของตัวเอง ซึ่งไม่ได้หวังประโยชน์ทางการเมืองตามที่กล่าวหา”

รายละเอียด แถลงการณ์ “เพจสายตรงภาคสนาม”

เนื่องจากมีเพื่อนนักข่าวภาคสนามแสดงความกังวลใจผ่านทวิตเตอร์ถึงการก่อกำเนิดของ “เพจสายตรงภาคสนาม” โดยตั้งข้อสงสัยถึงวัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง รวมทั้งไปไกลถึงขั้นว่าทีมงานสร้างเพจนี้ขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมือง พร้อมกับเรียกร้องให้พวกเราแสดงตัวและเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียไปถึงนักข่าวภาคสนามนั้น ทางเพจสายตรงภาคสนาม ขอชี้แจง ดังนี้

1. วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพจสายตรงภาคสนาม มีความชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าพวกเรารวมตัวกันเนื่องจากปัจจุบันมีความสับสนในเรื่องข้อมูลข่าวสาร เพราะสื่อมวลชนหลักเซ็นเซอร์ตัวเองจนนำเสนอข้อมูลไม่รอบด้าน โดยหลักคิดของพวกเราไม่เชื่อทฤษฎีความเป็นกลางที่ไม่สร้างปัญญาให้กับสังคมและต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สังคมได้รับทราบข้อมูลที่รอบด้านมากขึ้นเท่าที่ความสามารถของเราจะพึงมี พร้อมกับประกาศชัดเจนว่า “ที่นี่ไม่เป็นกลาง มีแต่ความจริงให้ประชาชน” จึงอยากให้ผู้ที่มีความกังวลใจได้กลับไปอ่านแถลงการณ์ก่อตั้งเพจสายตรงภาคสนามจะได้มีความเข้าใจในเจตนารมณ์ของทีมงานมากขึ้น

2. พวกเรายืนยันว่าเป็นนักข่าวตัวจริงในภาคสนาม มิได้แอบอ้างตามที่ผู้ที่แสดงความไม่สบายใจผ่าน ทวิตเตอร์ตั้งข้อสังเกต การใช้ถ้อยคำว่า “เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ที่เพจสายตรงภาคสนามอ้างตัวว่า เป็นที่รวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนาม แต่นักข่าวภาคสนามตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ไม่มีใครรู้เรื่อง” นั้น ทีมงานรู้สึกประหลาดใจกับวิธีคิดดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเราก็ไม่รู้จัก FB “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” ที่ผู้ทวิตเตอร์เป็นแอดมินอยู่ เพิ่งจะรับทราบว่ามีการตั้งกลุ่มกันเมื่อมีการทวิตเตอร์จากกรณีนี้เท่านั้น และเพจสายตรงภาคสนามก็ไม่คิดตั้งคำถามเกี่ยวกับการตั้งกลุ่มนักข่าวข้างถนนแต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคลที่พึงจะกระทำได้ ภายใต้ความรับผิดชอบที่ต้องมีควบคู่กับเสรีภาพด้วยเช่นเดียวกัน

3. เท่าที่เห็นวัตถุประสงค์ของ “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” ผ่านการทวิตเตอร์ของคนที่เป็นแอดมิน มีความชัดเจนอย่างยิ่งว่า เจตนารมณ์ของ “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” กับ “เพจสายตรงภาคสนาม” แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่แอดมินกลุ่มนักข่าวข้างถนน เน้นการรวมตัวของนักข่าวภาคสนามเพื่อช่วยเหลือกันในเรื่องของสวัสดิการคนข่าว ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี

แต่ “เพจสายตรงภาคสนาม” ไม่คิดว่าจะสร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นสหภาพเรียกร้องสวัสดิการให้กับนักข่าว แต่ต้องการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนในการเสพข้อมูลข่าวสารในยุคที่บ้านเมืองมีความเปราะบางทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจ ด้วยการนำเสนอความจริงจากภาคสนามและมุมมองนักข่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีกรอบจำกัดในเรื่องของสังกัดมาเป็นตัวบีบรัด ดังนั้นจึงมีความชัดเจนอย่างยิ่งว่า เพจสายตรงภาคสนาม ไม่มีทางเกี่ยวข้องกันและไม่คิดแอบอ้างว่ามีความเกี่ยวพันกับ “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” โดยเด็ดขาด จึงขอให้แอดมิน “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” สบายใจได้

4. เพจสายตรงภาคสนาม คิดว่าการด่วนสรุปว่า เพจนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อเลือกข้างรับใช้นักการเมือง เป็นการใช้อารมณ์และอคติเป็นตัวตั้ง มากกว่าจะใช้หลักเหตุผลในการพินิจพิจารณา อีกทั้งเพจสายตรงภาคสนามเพิ่งจะก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 55 เริ่มเผยแพร่ข้อมูลในวันที่ 2 มิ.ย. 55 จนมาถึงวันที่ 5 มิ.ย. 55 ก็เพียง 4 วันเท่านั้น จึงขอให้ผู้ที่กังวลใจได้ติดตามการทำงานของ เพจสายตรงภาคสนาม เพื่อตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ว่า มีการกระทำใดที่ขัดต่อจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพหรือไม่ เพราะพวกเราพร้อมรับการตรวจสอบ และไม่ประสงค์ที่จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพสื่อสารมวลชน

5. พวกเราต้องขออภัยหากการใช้ชื่อ “สายตรงภาคสนาม” ทำให้มีบางคนไม่สบายใจ แต่คำว่า “ภาคสนาม” คงไม่มีใครผูกขาดห้ามคนอื่นใช้งาน เพราะในแถลงการณ์ก็ระบุชัดเจนว่าเป็นนักข่าวภาคสนามกลุ่มหนึ่งไม่ได้เหมารวมทั้งหมด จึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อเพจตามที่มีการเรียกร้อง เนื่องจากทุกคนที่รวมตัวจัดทำเพจนี้เป็นนักข่าวภาคสนามตัวจริงทั้งสิ้น แต่ที่ไม่เปิดเผยตัวตนก็เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระในการแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากต้นสังกัดของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่การกระทำที่เป็น “อีแอบหลังม่าน” หวังประโยชน์ทางการเมืองตามที่กล่าวหา

เพียงแต่พวกเรายอมรับความจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีภาระครอบครัวต้องดูแลว่า ภายใต้ต้นสังกัดที่พวกเราทำงานอยู่จะมีปัญหาตามมามากมายหากมีการเปิดเผยตัวตนออกไปทั้งกับตัวเองและต้นสังกัดด้วย แต่พวกเราก็มิอาจเพิกเฉยนิ่งดูดายปล่อยให้บ้านเมืองล่มสลายไปต่อหน้าได้ จึงได้ทำเพจสายตรงภาคสนาม เพื่อให้ข้อมูลจากมุมมองของพวกเราต่อสถานการณ์การเมืองที่อยู่ในช่วงฝุ่นคลุ้งกระจาย แต่สื่อหลักกลับทำหน้าที่เพียงแค่บุรุษไปรษณีย์ มิได้กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารตามหน้าที่ จนเกิดการโกหกประชาชนทุกวัน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนแยกแยะ ชั่ว ดี ถูก ผิด ไม่ได้

สำหรับพวกเราทีมงาน “เพจสายตรงภาคสนาม” ไม่ได้มีความหวั่นไหวใดๆ ต่อแรงเสียดทานที่ถาโถมเข้ามาในขณะนี้ เพราะมีความมั่นใจในจุดยืนของตัวเองว่าทุกสิ่งที่ทำล้วนเพื่อประเทศชาติ โดยไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ แอบแฝง โดยขอนำคำกล่าวอมตะของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา นักสื่อสารมวลชนที่ได้รับความเคารพจากคนในวงการสื่อ ที่ว่า “พอฝุ่นควันนั้นจางไป เราก็จะพบว่าเรายังยืนอยู่ที่เดิม”

6. รูปแบบการนำเสนอของ “เพจสายตรงภาคสนาม” จะมีการเสนอข่าวในรอบวันตามที่ทีมงานได้ส่งมาให้ รวมถึงข่าวคราวน่าสนใจที่คิดว่าประชาชนควรจะรับทราบ โดยจะมีการสรุปประเด็นสำคัญในวันนั้นให้ประชาชนได้เห็นว่า พัฒนาการของสถานการณ์รวมทั้งความจริงในเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจเองว่า นักการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมภาคภูมโดยยึดประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งหรือไม่

“เพจสายตรงภาคสนาม” ขอบคุณแอดมิน “กลุ่มนักข่าวข้างถนน” ที่ให้ความใส่ใจต่อความเคลื่อนไหวในแวดวงสื่อ ด้วยการตรวจสอบอย่างเข้มข้นผ่านทางทวิตเตอร์ของตัวเอง โดยขอย้ำว่า “ที่นี่ไม่เป็นกลาง มีแต่ความจริงให้ประชาชน” พวกเราเคารพความเห็นต่างของเพื่อนสื่อมวลชน และหวังว่าจะได้รับความเคารพเช่นเดียวกัน โดยอย่าให้ความเห็นที่แตกต่างทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่นักข่าวภาคสนาม จนมีคนหยิบฉวยไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง เพราะสังคมไทยมีความแตกแยกมากเกินกว่าชาติจะรับไหวแล้ว

ท้ายนี้ “เพจสายตรงภาคสนาม” ขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจของสมาชิกที่ให้กับทีมงาน โดยภายใน 4 วัน มีผู้เข้ามากดไลค์เป็นสมาชิกของเพจแล้วเกือบ 8 พัน คน มีการแบ่งปันข้อมูลจากเพจสายตรงภาคสนามถึง 15,105 คน และมีชาวเน็ตเข้าถึงเพจรวม 119,835 คนภายในระยะเวลาเพียง 4 วัน ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายอย่างยิ่ง โดยพวกเราสัญญาว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น