“ดร.เสรี” ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง สับ “บิ๊กบัง” ตระบัดสัตย์ ทำประชาชนหลงผิดคิดว่าเป็นวีรบุรุษ ชี้ข้ออ้างบริบทต่างกันเปลี่ยนความชั่วของทักษิณไม่ได้ ชี้ออก พ.ร.บ.ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ตุลาการ ทำนิติบัญญัติเป็นลิ่วล้อฝ่ายบริหาร ลั่นไม่ยอมให้อธรรมครองบ้านครองเมืองต้องสู้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังการปราศรัย โดย "ดร.เสรี วงษ์มณฑา"
วันนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ได้ขึ้นเวทีปราศรัยต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้ารัฐสภา โดยกล่าวว่า เมื่อ 19 ก.ย. 49 เราหลงผิดคิดว่าคนคนหนึ่งเป็นวีรบุรุษในการที่จะมาช่วยชาติ โดยประกาศความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น 4 ประการ คือ บริหารบ้านเมืองให้เกิดความแตกแยก บริหารบ้านเมืองด้วยความทุจริต คิดไม่ชอบ แทรกแซงอำนาจในการตรวจสอบจนกระทั่งไม่สามารถตรวจสอบได้ และจาบจ้วงล่วงละเมิดพระราชอำนาจที่พวกเรายอมไม่ได้
“เราชื่นชมเขาในวันนั้น เพราะเราคิดว่าเขากล้าหาญที่จะมาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ แต่วันนี้เขาเขียนด้วยมือ แล้วลบด้วยเท้า เขาอ้างว่าเวลานั้นเวลานี้ บริบทมันไม่เหมือนกัน จริงอยู่ บริบทไม่เหมือนกัน แต่ความชั่วของคนคนหนึ่งที่ทำไปแล้ว บริบทเปลี่ยนความชั่วเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แปลว่ายังชั่วเหมือนเดิม ถ้าคนหนึ่งเคยประกาศความชั่วของคน แล้ววันหนึ่งจะมาหาทางยกเลิกความชั่วของคน ถ้าไม่เรียกคนนั้นว่าเป็นคนสับปรับตระบัดสัตย์แล้วจะเรียกว่าอะไร มันเป็นความเลวร้ายที่สุด” ดร.เสรีกล่าว
ดร.เสรีกล่าวต่อว่า ประชาธิปไตยมีสามขา ประกอบด้วยฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และมีตุลาการ แต่บัดนี้เขาเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อให้นิติบัญญัติสามารถที่จะโหวตแล้วก็ลบล้างความศักดิ์สิทธิ์ของตุลาการ ทำให้ประชาธิปไตยของเราจากสามขาเหลือสองขา ทั้งๆ ที่ตุลาการต้องดำรงอยู่เป็นฐานที่สามของประชาธิปไตย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศาลตัดสินไปแล้ว ไม่สามารถจะใช้อำนาจใดๆ ทั้งบริหารและนิติบัญญัติมาล้มล้างคำตัดสินของตุลาการได้ ซึ่งถ้าเราไม่ยอมก็ปักหลักกันอยู่ตรงนี้จนกว่าจะมีการถอนร่างนี้ออกจากสภา และให้บอกต่อว่า ถ้าท่านยังเป็นคนไทยที่ยังรักความยุติธรรม รักประเทศชาติ ต้องออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าเมื่อเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เราก็ต้องเชื่อในระบบรัฐสภา ถ้าไม่เชื่อระบบรัฐสภาแล้วจะเชื่ออะไร เห็นว่าระบบรัฐสภาดีแน่นอน แต่คนที่อยู่ในสภาต่างหากที่ไม่มีสมอง ไม่มีจรรยาบรรณ หน้าด้าน เมื่อแต่ละคนบอกว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรกับทักษิณเลย พูดได้เฉยๆ แต่ไม่กล้าแจง แต่เราบอกว่าเอื้อ แล้วเราแจงได้ด้วย คือ ประการแรก การกระทำใดๆ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 ไม่ให้มีความผิด ก็เพราะว่าการกระทำและคำพูดของเขามันผิด ก็เท่ากับว่าเป็นความพยายามที่จะยกโทษให้กับคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ประการต่อมา เรื่องใดที่อัยการกำลังทำสำนวนอยู่เพื่อที่จะฟ้องร้อง ให้ยุติเป็นอันว่าไม่ต้องมีการฟ้องร้องกัน แล้วใครกันที่ทำผิดและสมควรที่จะถูกฟ้องร้อง ถ้าไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกประการหนึ่ง เรื่องใดที่อยู่ในศาลที่กำลังทำการไต่สวน ให้ศาลจำหน่ายคดี แล้วใครที่จะมีคดีอยู่ในศาล ถ้าไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ และประการที่สี่ คดีใดที่ศาลตัดสินไปแล้ว แล้วผู้ใดถูกศาลตัดสินให้มีความผิด ก็ขอให้ถือว่าไม่มี ความผิดอันใดยกเลิกไป ใครที่ถูกตัดสินให้ยึดทรัพย์ ที่ถูกตัดสินให้ติดคุก 2 ปี ถ้าไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ
“การที่เรามีศาลก็เพราะว่านั่นเป็นการถ่วงดุลระหว่างอีกสองอำนาจ ตามปกติแล้วอำนาจนิติบัญญัติ ออกกฎหมายและควบคุมการทำงานของอำนาจบริหาร แต่นิติบัญญัติสภานี้จะควบคุมบริหารได้เหรอ เพราะมันเป็นลิ่วล้อของบริหาร ทำตามบริหารสั่งทุกอย่าง อำนาจในนิติบัญญัตินั้นง่อยเปลี้ยเสียขาไปแล้ว แล้วจู่ๆ วันนี้จะใช้ พ.ร.บ.ปรองดองทำลายอีกหนึ่งขาให้มลายไป ใครจะไปยอม ต่อไปนี้ใครไปฆ่าคนตาย ใครไปทำผิดอะไร ไม่ต้องขึ้นศาลมาถามสภาแห่งนี้ ถามว่าผิดไม่ผิด ถ้าสภาแห่งนี้บอกว่าไม่ผิดก็ไม่ผิด อย่างนี้ประเทศไทยจะเรียกว่ามีประชาธิปไตยเหรอ” ดร.เสรีกล่าว
นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนกล่าวว่า มีรัฐมนตรีบางคนบอกใครก็ตามที่ต่อต้าน พ.ร.บ.นี้ เป็นคนจิตใจคับแคบ เราไม่ใช่จิตใจคับแคบ แต่เรามีจิตใจที่เป็นธรรมะ เป็นจิตใจที่ยุติธรรม มีดวงตาที่เข้าใจความผิด ความถูก รัฐมนตรีที่บอกว่าเราใจแคบนั้นสมองแคบยิ่งกว่า เราเชื่อว่าเขาเหล่านั้นมีทั้งเถียงเราว่า พ.ร.บ.นี้ไม่ได้เอื้อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าเอื้อ แต่กลัวว่าถ้าพูดอะไรขัดใจทักษิณตัวเองนั้นจะไม่มีความสุข จะไม่ได้ผลประโยชน์ ถ้าพวกเรามีสมองคิดได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เขาไม่ได้โง่กว่าเราทำไมเขาจะไม่เข้าใจ เขาเข้าใจพอกับเรา สมองไม่ต่างจากเรา แต่สิ่งที่เขาต่างจากเราก็คือเขาชั่วกว่าเราเท่านั้นเอง
“ถ้าเขาคิดเป็น ถ้าเขาเป็นคนมีความยุติธรรม เป็นคนที่มีจริยธรรม เป็นคนที่เห็นแก่บ้านแก่เมืองมากกว่าเห็นประโยชน์ส่วนตน เขาย่อมสามารถเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ แต่ความงก ความเห็นแก่ตัว กับความอยากได้ประโยชน์ส่วนตน เป็นสิ่งที่ให้พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จักคิด แล้วก็ออกมาพูดจาแบบเอาสีข้างเข้าถู ถึงเวลานี้แล้ว พวกเราที่อยู่ที่นี่เราประกาศตนว่าเราไม่ยอมที่จะให้อธรรมนั้นครองบ้านครองเมือง เราไม่ยอมให้ตุลาการนั้นเป็นอีกหนึ่งขาประชาธิปไตยที่ถูกตัดขาดกัน เพราะฉะนั้นเราจะสู้จนกว่าเขาถอน พ.ร.บ.นี้ออกจากสภา เพื่อให้สภานั้นเป็นสภาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เรายังคงยึดมั่นในระบบรัฐสภา แต่เราไม่เชื่อคนสมองหมา ใจหมา ในรัฐสภาต่างหากล่ะ” ดร.เสรีกล่าวทิ้งท้าย