ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดภารกิจเร่งด่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ก็ทำงานสำเร็จตามเป้าหมายสำคัญไปอีกขั้น นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาที่สามารถลงมติในวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้นขั้นตอนต่อไปตามกำหนดก็ต้องรอพักไว้ก่อนไม่น้อยกว่า 15 วันแล้วค่อยลงมติในวาระที่ 3 ผ่านฉลุย เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งล่าสุดก็มีการกำหนดวันออกมาแล้วว่าเป็นวันที่ 5 มิถุนายน
ที่ผ่านมาสมาชิกผู้ทรงเกียรติพวกนี้ได้ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำเป็นเวลา 15 วัน 15 คืนโดยไม่ยอมหยุดพัก ทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา คือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็เข้มงวดเอาจริงเอาจังควบคุมการประชุมให้เดินไปตามกำหนดได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
มีการขยายเวลาสมัยประชุมสภาออกไปแบบไม่มีกำหนด เพื่อให้วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วนต้องสำเร็จให้ได้ ซึ่งมาถึงขั้นนี้แล้วเชื่อว่าคงไม่มีอะไรมาขัดขวางได้อีกต่อไปแล้ว เพราะหลังจากลงมติวาระ 3 แล้ว นั่นก็หมายความว่า ขั้นตอนต่อไปก็คือนำไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 77 คน ที่มาจากจังหวัดละคน และบวกกับ ส.ส.ร.อีก 22 คนที่มาจากนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่เลือกโดยรัฐสภา
ไม่ต้องบอกก็เข้าใจได้อยู่แล้วว่า เสียงข้างมากจะลากไปในทิศทางใด นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยอ้างประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งแบบสำเร็จรูป
นาทีนี้ไม่ต้องมาสงสัยกันแบบไร้เดียงสา เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่ามีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “เจ้าของ” นั่นคือเจ้าของรัฐบาลที่มีน้องสาว คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เจ้าของพรรคเพื่อไทยและมี ส.ส.เป็นเสียงข้างมากในสภา จะชี้นิ้วสั่งการอะไรก็ได้
แต่คำถามก็คือ มีความจำเป็นเร่งด่วนแค่ไหน หรือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ หรือเป็นต้นเหตุทำให้ “แพงทั้งแผ่นดิน” อย่างนั้นหรือ หรือว่าน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ หรือว่า เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะทำให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดความฉลาดมากขึ้น อย่างนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่ ไม่ได้เร่งด่วนจะเป็นจะตายขนาดนั้นทำไมถึงต้องหามรุ่งหามค่ำขยันประชุมสภา เร่งยิกๆ ให้เสร็จโดยไว ซึ่งต้องใช้งบประมาณเปลืองค่าน้ำค่าไฟ เปลืองค่าโอทีที่ต้องจ่ายหลังจากเวลาราชการ หลัง 5 โมงเย็นไปแล้ว รวมไปถึงวันหยุดราชการที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นพิเศษ และถามว่ามันคุ้มค่ากันหรือไม่
ขณะที่เวลานี้สิ่งที่ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนกลับเป็นเรื่อง “ค่าครองชีพ” เพิ่มขึ้น สวนทางกับรายได้ที่เท่าเดิมหรือลดลง ชาวนา ชาวไร่ ขายผลผลิตไม่ได้ราคา ทำนองของที่ควรแพงกลับถูก ของที่ควรแพงกลับถูก กลับหัวกลับหางตรงกันข้ามจนเพี้ยน เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า แต่รัฐบาล และคนพวกนี้ไม่เคยสนใจ มัวแต่มุ่งรับใช้ “นายเงิน” ให้ไปถึงเป้าหมายเท่านั้น
แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเข้าใจว่าความเดือดร้อนของชาวบ้านรอก่อนเอาไว้ทีหลัง เพราะปัญหาและความเดือดร้อนของทักษิณ ชินวัตร สำคัญกว่า อีกทั้งยังมีการกำหนดตารางเป็นปฏิทินเอาไว้ล่วงหน้าอีกว่าเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนำไปสู่การเลือกตั้ง ส.ส.ร.แล้วจะเริ่มเดินหน้าเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ เป็นลำดับถัดไป กลายเป็นว่าในสมองของคนพวกนี้ทำงานรับใช้คนเพียงคนเดียวเท่านั้น
เคยบอกว่าตัวเองเป็นไพร่ แล้วด่าว่าอำมาตย์ มาบัดนี้ก็กลายพันธุ์หันไปจูบปากกันเรียบแล้ว เคยกล่าวหาคนอื่นสองมาตรฐาน ปัจจุบันนอกจากสองมาตรฐานแล้วยังมีแนวโน้มออกไปทางไร้มาตรฐาน หนักหนาสาหัสกว่าเดิมหลายเท่า กล่าวหาคนอื่นเป็น “อภิสิทธิชน” แต่เท่าที่เห็นก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละที่กำลังเป็นอยู่ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เอาเปรียบคนอื่น ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ขณะที่เมื่อหันมาพิจารณาถึงผลงานของรัฐบาลน้องสาวตัวเอง กลับห่วยแตก แบบนี้สมควรที่จะให้สิทธิพิเศษอยู่ต่อไป!!