“นช.แม้ว” โอ่มีสุข ประชาชนเรียกร้องให้กลับไทย ชี้ถ้าจะไปต้องลงตัวกว่านี้ ปัดให้เขมรจุ้นการเมือง อ้างปีมหามงคลราชินี 80 พรรษา-สมเด็จพระบรมฯ 60 พรรษา ความแตกแยกควรจบ เชื่อปฏิวัติคิดได้แต่ทำยาก ระบุ ม.112 ถูกใช้เป็นเครื่องมีมากเกิน อ้างในหลวงไม่โปรด ยังย้ำถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้ทำอะไรผิด แย้มถ้าเริ่มต้นใหม่ก็ไม่กลัว บอกรู้ลึกๆ ปรองดองแน่ปีนี้ ถามสาวกมาเยี่ยมผิดอะไร ลั่นขออยู่เบื้องหลัง บอกหมดยุคแล้ว
วันนี้ (15 เม.ย.) ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีที่ดินรัชดาภิเษก ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีทำบุญตักบาตรและรดน้ำสงกรานต์ที่นครวัดว่า หลังจากทำบุญรู้สึกดีใจที่ได้ทำบุญตามศาสนาของเรา เพราะไม่ได้ทำมานาน รู้สึกสุขใจแต่ที่มีความสุขมากไปกว่านั้น คือ ประชาชนให้การสนับสนุนและเรียกร้องให้กลับบ้าน โดยเฉพาะเมื่อเห็นน้ำตาผู้ชายอกสามศอกร้องไห้บอกว่าให้กลับ ซึ่งมันหาไม่ได้ที่ชาวบ้านจะให้ความรักและเมตตาเราขนาดนี้ บางคนหอบข้าวของเบียดเสียดเอามาให้ ถือเป็นน้ำใจที่หายาก ทำให้อบอุ่นใจและต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณทุกวิถีทางที่จะทำได้ และต้องขอบคุณกัมพูชาที่ได้ให้คนไทยเข้ามาจำนวนมาก ถ้าถามว่าอยากจะกลับเมืองไทยตอนไหนก็อยากจะกลับตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.แล้ว แต่หากจะกลับต้องให้ทุกอย่างดีและลงตัวกว่านี้
“ครั้งที่ผมกลับไทยเมื่อพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งและเป็นรัฐบาล ผู้นำบางประเทศที่เป็นเพื่อนบอกว่าอย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลแล้วกลับไปจะปลอดภัย ขอให้ระวังเขาอาจจะลอบฆ่าอยู่ จึงอยากให้อยู่ในสถานการณ์ที่ตนไปเดินถนนไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางได้” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกังวลว่าการจัดกิจกรรมในประเทศกัมพูชาจะเปิดทางให้กัมพูชาเข้าไปแทรกแซงการเมืองไทย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะการที่ประชาชนเดินทางมากันมาก เพราะกัมพูชาอำนวยความสะดวก แต่ทางประเทศลาวไม่อนุญาตให้นำรถผ่านเข้าไปทำให้ประชาชนเดินทางลำบากเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ว่าปีนี้จะได้กลับบ้านอย่างแน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า เราเป็นคนไทยเป็นคนพุทธจะนึกถึงสิ่งที่เป็นมงคลและปีนี้เป็นปีมหามงคล คิดว่าในเมื่อทุกอย่างเป็นมงคลก็ควรทำให้ประเทศเราดีขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งแบ่งฝ่ายกันทำให้สังคมเกิดความแตกแยกควรจะจบได้แล้วเพราะจะเป็นมงคลกับประเทศด้วย
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าจะขยายความได้หรือไม่ที่บอกว่าเป็นปีที่ดีและเป็นมหามงคลแล้วจะได้กลับบ้านหมายความว่าอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า เราถือว่าเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งเราถือว่าเป็นรอบที่สำคัญ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา จึงรู้สึกว่าเป็นปีที่ดีก็น่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยง เราเป็นคนพุทธก็พยายามคิดในสิ่งที่เป็นมงคล
ส่วนกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหารที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องนั้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า คิดได้แต่ทำยาก เพราะความไม่ยอมรับของคนไทยที่ตื่นตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ขนาด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ยังลุกขึ้นมาบอกว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ใครที่คิดเรื่องนี้อยู่ก็คงจะสวนทางกับโลก เชื่อว่าจะไม่เหมือนเดิมจะไม่มีคนเอาดอกไม้มาให้อีกแล้ว เพราะตนเชื่อว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยตอนนี้มันฝังลึกในคนไทย ใครที่คิดไม่ดีก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์
“ทหารมีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์ ถ้านักสู้ถวายความจงรักภักดีไม่มีอะไรทำให้กระทบกระเทือนหน้าที่ทหารก็ไม่มีอะไร ส่วนความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 นั้น ช่วง 50 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา เพราะเขามีหลักดำเนินคดีแต่ในช่วงหลังจากปฏิวัติ เรื่องนี้เป็นประโยชน์ทางการเมืองมาก แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงโปรดที่จะให้ใช้มาตรา 112 พร่ำเพรื่อ ผมเคยถวายงาน ทรงรับสั่งชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยที่จะมาทำแบบนี้ และไม่ได้ทรงระคายอะไร ทั้งนี้ บางครั้งใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าจงรักภักดีเพียงคนเดียวมากไป ทำให้มีปัญหา” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
เมื่อถามว่า หากต้องกลับไปอยู่ประเทศไทยภายใต้ระเบียบกฎหมายกับการเคลื่อนไหวอย่างสะดวกนอกประเทศแบบไหนดีกว่ากัน พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า เหมือนกัน เพราะทุกประเทศมีกฎกติกา การเคลื่อนไหวเขาไม่ได้เรียกว่าการเคลื่อนไหวแต่เรียกว่าใจผูกใจ ประชาชนผูกใจกับตน ตนก็ผูกใจกับประชาชน อยากจะเดินทางมาให้ใกล้เพื่อเขาจะได้เดินทางมาสะดวก ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนกลับมาเมืองไทยแล้วจะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เขาถึงยอมรับตนในทุกๆ ที่ผู้นำหลายประเทศยังมาพบตนด้วยตัวเอง หลายประเทศส่งผู้บริหารระดับสูง ระดับรัฐมนตรี ระดับกรรมการพรรคการเมืองใหญ่มาพบเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพราะเขาอยากเห็นเสถียรภาพในภูมิภาคแห่งนี้เพราะไทยเป็นประเทศหลักทางเศรษฐกิจในอาเซียน ถ้าไทยอ่อนแออาเซียนจะอ่อนแอไปด้วยเพราะไทยเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าเรายังเป็นอย่างนี้เขาก็เป็นห่วงว่าอาเซียนไม่เข้มแข็ง เพราะ 6 ปีที่อาเซียนเคยเข้มแข็งแต่ตอนนี้กลับอ่อนแอไปเยอะ โอกาสจะแย่งชิงผลประโยชน์จากการลงทุนหายไปเยอะ
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า ดังนั้นในฐานะผู้นำอาเซียนก็อยากเห็นบ้านเมืองเราอยู่ในความปรองดอง ในฐานะที่เราชนะเลือกตั้งและถูกกระทำมากที่สุดก็ได้ยื่นเรื่องที่จะให้อภัยกันขึ้นมาก่อน ถ้าเราไม่ยื่นก็เป็นไปไม่ได้ที่บ้านเมืองจะยุติ เหตุผลที่ตนยังไม่เดินทางกลับบ้านไม่ใช่เพราะการเมืองไม่นิ่งหรือสถานการณ์น่าเป็นห่วงแต่มีสิ่งเดียวคือรัฐบาลต้องทำงานให้ประชาชนได้เห็นว่าทุ่มเทเพื่อเขา ซึ่งจะเป็นจุดชี้ว่าการเมืองนิ่งหรือไม่นิ่ง ส่วนในสภาไม่มีอะไรเพราะรัฐบาลเป็นเสียงข้างมาก ยืนยันว่าไม่เป็นห่วงอะไรแต่อยากให้บ้านเข้าสู่ภาวะปกติให้ยิ้มเข้าหากันได้ ไม่ใช่ถามว่าคุณสีอะไร ตอนนี้มันต้องไม่มีสี
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้เสียสละเดินทางกลับไปรับโทษเพื่อให้เกิดการปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ถ้ายุติธรรมจะเข้า แต่ตอนนี้มันยังไม่ยุติธรรม ถ้าเริ่มต้นใหม่ไม่กลัวและยินดีต้อนรับ
เมื่อถามว่าแต่ฝ่ายค้านยังเชื่อว่าการออกกฎหมายเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ต้องถามกลับว่าแล้วเหตุมันเกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้ต้องก้าวข้ามตนให้ได้ ถ้าก้าวข้ามไม่ได้ก็ลำบาก การเมืองก็ไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนไม่ได้ เพราะก้าวไม่ข้ามตนสักที เขย่งอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว
เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่าการที่ระบุว่าจะกลับประเทศไทยจะยิ่งทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องกดดันในการเดินหน้าแนวทางปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ไม่เกี่ยวเพราะไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเป็นเรื่องของรัฐสภา นายกฯ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่เป็น ส.ส.แค่ 1 เสียง วันนี้เป็นเรื่องของสภาก็ต้องปล่อยสภา เพราะอยู่ใกล้ประชาชนและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนออกมา การเมืองในสภาไม่นิ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ไหนมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นปกติที่จะเป็นเช่นนี้ เพราะเขาเป็นฝ่ายค้านเก่ง
เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ฝ่ายค้านก็ยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ฝ่ายค้านก็คือตัวแทนประชาชน ฉะนั้นต้องทำในสิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ถ้าคนส่วนใหญ่อยากเห็นปรองดองฝ่ายค้านก็ต้องคล้อยตามประชาชน ถ้าไม่คล้อยตามก็จะถูกโดดเดี่ยว แต่ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่แม่ของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายชุมนุมราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิงและไม่อยากให้มีนิรโทษกรรมก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าเรื่องปรองดองจะเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ น่าจะเกิดขึ้นเพราะรู้สึกลึกๆ แต่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเพราะนั่งทางในไม่เป็น แต่อยู่ในการเมืองมานานมีสิ่งบอกเหตุก็พอจะเดาได้
เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนิรโทษกรรมที่จะไปมีผลครอบคลุมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับประโยชน์ด้วย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่คำว่านิรโทษกรรมยังไม่คิดใช้แต่ใช้แต่ใช้ว่าทำอย่างไรให้คนหันมาปรองดองกัน
เมื่อถามต่อว่า คิดว่าตัวเองควรจะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวย้อนว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างยุติธรรมใครก็รับได้ ไม่มีใครกลัวถ้าไม่ได้ทำผิด”
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่าที่มี ส.ส.และรัฐมนตรีมาร่วมกิจกรรมอาจเป็นความผิดได้ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวย้อนว่า มีกฎหมายอะไรให้ผิด ถามว่าผิดกฎหมายอะไร สงสัยจะเขียนกฎหมายเอง
เมื่อถามว่า ถ้าการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จและผลักดันเรื่องปรองดองไปได้แล้วจะเดินทางกลับจะง่ายขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ทุกอย่างต้องกลับไปสู่หลักความเป็นธรรมเห็นได้จากที่พระสงฆ์มาสนับสนุนเราเพราะเห็นถึงความไม่เป็นธรรมและรับไม่ได้ ดังนั้น ทุกอย่างต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้น คือความเป็นธรรมและผู้ที่ทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมต้องมีความเป็นธรรมด้วย
เมื่อถามว่าที่บอกว่าให้ทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้นโดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม พร้อมที่จะกลับไปต่อสู้คดีหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า แน่นอน ตนไม่ผิด ไม่เคยกลัว แต่ขอให้กระบวนการยุติธรรมมันยุติธรรมจริงๆ ซึ่งหลังจากที่อดีตกรรมการบริหารพรรคพ้นโทษทางการเมืองในเดือน พ.ค.นี้ ตนคิดว่าคงจะไม่กลับเข้าไปใหม่แล้ว เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เป็นน้องคนเล็กได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว หมดรุ่นของตนแล้วแต่จะคอยเป็นผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษาและความคิดดีๆ เพื่อให้บ้านเมืองไปได้ดี เพราะตอนนี้ตนอายุ 37 ปีจะครบร้อยแล้ว คอยเป็นฝ่ายวิชาการได้และรวบรวมข้อมูลเป็นสารานุกรม ใครอยากจะเปิดดูก็เปิดได้ ใครไม่อยากเปิดก็ไม่ต้องเปิด ไปบังคับไม่ได้
เมื่อถามว่า การบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมาถูกรุมเร้า โดยเฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติได้ให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ไม่มีอะไรแต่ต้องมีความอดทนและทำในสิ่งที่ถูกต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ให้มาก ถ้าใช้ความรู้สึกจะแก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องแก้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์และคิดเป็นระบบ