“กรณ์” โวโครงการ “ของถูกสู้แพงทั้งแผ่นดิน” ของ ปชป.ประสบความสำเร็จ หยันรัฐบาลล้มเหลวแก้ค่าครองชีพ ขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่น ให้ฉายา “แท้งทั้งแผ่นดิน” เตือนทบทวนนโยบายพลังงาน ทำประชาชนทุกข์ ห่วงเงินเฟ้อ เงินฝืด จึ้หยุดนิรโทษกรรมตอบโจทย์การเมือง หันมาเอาใจใส่ประชาชน
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการดำเนินโครงการ “ของถูกสู้แพงทั้งแผ่นดิน” ซึ่งมีการจัดหาสินค้าจำเป็น 6 รายการไปจำหน่ายให้ชาว กทม.ในราคาต้นทุนว่า ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี แม้จะไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึง แต่ก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ส่วนหนึ่ง และยังกระตุ้นให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังต่อการแก้ปัญหาให้แก่ประชาชน โดยใช้วิธีการที่ไม่ต้องนำเงินภาษีประชาชนมาจ่าย ด้วยการเป็นคนกลางนำสินค้าจากผู้ผลิตไปถึงมือประชาชน ตัดภาระต้นทุนด้านการขนส่งที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และแสดงความเป็นห่วงที่รัฐบาลยังไม่มีการทบทวนนโยบายพลังงานที่ผิดพลาดซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น โดยเห็นว่ารัฐบาลต้องแก้ปัญหาแพงทั้งแผ่นดิน และระมัดระวังการใช้งบประมาณที่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างตรงจุด ไม่ครอบคลุมประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นายกรณ์กล่าวว่า รัฐบาลต้องเอาจริงมากกว่านี้ อย่าคิดว่านโยบายจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะถ้าไม่เอาใจใส่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเห็นได้จากนโยบายธงฟ้า และร้านถูกใจ ก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่นเดียวกับการปรับเงินเดือนข้าราชการวุฒิปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาทที่ให้สัญญาไว้ก็ล้มเหลว นโยบายแท็บเล็ตก็ล้มเหลว เรียกว่า “แท้งทั้งแผ่นดิน” เพราะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เนื่องจากรัฐบาลสนใจแต่การเมือง นิรโทษกรรม ซึ่งไม่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน จึงอยากให้รัฐบาลกลับมาเอาใจใส่ประชาชน ลดระดับความสำคัญของตัวเองและพวกพ้อง เพิ่มระดับความสำคัญให้กับประชาชน ส่วนผลประโยชน์ของพวกพ้องรอให้ประชาชนคลายความกังวลค่าครองชีพก่อนค่อยไปตอบโจทย์ประเด็นการเมือง
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านต้องการส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลเห็นว่าอะไรสำคัญต่อการบริหารประเทศ พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงว่า ในภาวะที่รายได้ยังไม่เพิ่มขึ้นแต่สินค้าปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่รัฐบาลไม่ยอมทบทวนนโยบายพลังงานที่ผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม คือ เงินเฟ้อพุ่งสูงพร้อมกับปัญหาเงินฝืด เพราะสินค้าราคาแพงแต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังอยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้เพราะสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี มีเครื่องมือครบ สถานะทางการเงินไม่เป็นอุปสรรค สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาคือรัฐบาลไม่มีหัวใจดูแลประชาชน