รายงานการเมือง
จู่ๆ ก็มีจดหมายจากชายชราโผล่กลางวงนิรโทษกรรมที่เอาความปรองดองมาบังหน้า จนคนในสังคมขนลุกขนพองไปตามๆ กัน
อาการขนลุกชันที่เกิดขึ้นมาจากความขยะแขยงในที่มาของจดหมายจากชายชรานี้ เพราะแม้คนไทยส่วนหนึ่งอาจจะความจำสั้น แต่บันทึกของประวัติศาสตร์อันเชี่ยวกรากในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านแห่งยุคสมัยนั้น กล่าวถึงคนที่ชื่อ
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในสถานะที่ไม่แตกต่างอะไรกับไม้หลักปักขี้เลน ที่เกือบนำพาประเทศเข้าสู่ภาวะล่มสลายทางเศรษฐกิจมาแล้ว
ผลงานล่าสุดหลังเป็นผู้หนึ่งในการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 มาจนถึงการเข้าร่วมขบวนการพฤษภาทมิฬโมเดลช่วงแดงเผาเมือง-ชุดดำลอบฆ่า ทำร้ายประเทศไทยจับประชาชนและระบบเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน ประกาศถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดึงฟ้าต่ำลงสู่วังวนความขัดแย้งตามแผนกดดันให้ทรงใช้พระราชอำนาจเพื่อนักโทษหนีคดี บนข้ออ้างคืนความสงบให้กับประเทศ
แต่พระสยามเทวาธิราชมีจริง แผนร้ายจึงล้มเหลวแม้ว่าชะตากรรมของบ้านเมืองยังไม่ผ่านเคราะห์และกำลังเข้าสู่ภาวะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโศกนาฏกรรมอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่ในสังคมจะเปิดรับ
“ซากศพการเมืองจากหลุม ที่พยายามพลิกฟื้นคืนชีวิต"
จดหมายเปิดผนึกที่สุดแสนจะเลอะเทอะจากหลุมศพฉบับนี้ ต้องบอกว่าเป็นการตอกฝาโลงให้คนเขียนลงหลุมในขุมที่ลึกสุดๆ เพราะหาสาระไม่ได้ นอกจากเจตนาเดียวคือ รับจ๊อบช่วยนักโทษพ้นผิดด้วยการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ ถ้าสำเร็จก็ได้วางบิล!
การกล่าวอ้างว่านโยบาย 66/23 จะแก้ปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ไม่แตกต่างอะไรกับหมอตี๋ที่ร้านขายยา จ่ายยาพาราให้กับผู้ป่วยมะเร็งแล้วโกหกว่าจะรักษาให้หายขาด
คงมีแต่ควายเท่านั้นที่จะยอมให้ถูกหลอก
นโยบาย 66/23 ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ในวันที่บ้านเมืองของเราต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางอุดมการณ์เกี่ยวกับการเมืองการปกครองครั้งรุนแรง การเปิดโอกาสให้ผู้เข้าป่าให้วางอาวุธออกมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จึงถือเป็นนโยบายทางการเมืองที่ได้ผลในห้วงเวลานั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน
เพราะถ้าจะอ้างว่าประเทศชาติกำลังประสบกับปัญหาในเรื่องอุดมการณ์ด้านการปกครอง ก็เท่ากับยอมรับว่าคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนักโทษที่ดูไบมีความคิดที่จะล้มล้างการปกครองด้วยการใช้มวลชน พรรคการเมือง และกองกำลังติดอาวุธ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแดง ซึ่งถ้าจะใช้นโยบาย 66/23 มาจับเสื้อแดงต้องถูกสลายสี หมู่บ้านแดงไปจนถึงอำเภอแดงต้องไม่ปรากฏ หากทำได้จึงจะนำมาเทียบเคียงกับกรณีแปรคอมมิวนิสต์เป็นผู้พัฒนาชาติไทย
นอกจากความสำเร็จของนโยบาย 66/23 ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับการนิรโทษกรรมล้างผิดให้คนทุจริตคิดคดต่อบ้านเมือง
การอ้างว่านโยบาย 66/23 จะสร้างความปรองดองตามกติกาที่นักโทษกำหนด จึงเป็นแค่วาทกรรมที่พยายามจะสร้างความชอบธรรมในการล้างผิดให้นักโทษเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะก่อนหน้านี้ล็อบบี้ยิสต์ปรองดองที่กำลังลุ้นผลตัวโก่งอย่าง วัฒนา เมืองสุข เคยออกมาพูดไว้นานแล้ว
คราวนี้ก็เพียงแค่เปลี่ยนผู้เล่นหวังอาศัยความขลังในความเก่าเก็บ สู้อุตส่าห์ลากหมอผีชราขึ้นมาทำน้ำมันพรายโปรยปรายเสน่ห์ให้สังคมต้องมนต์ นะ ปรองดอง แต่ก็คงจะไร้ความหมาย
เพราะในระหว่างร่ายมนต์ดันเสือกผายลมควบคู่ไปด้วย พิธีกรรมก็เลยขาดความขลังในทันที!
การที่ พล.อ.ชวลิตอ้างว่า การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะช่วยให้อำนาจตุลาการเข้าหาระบบยุติธรรม ไม่ทราบว่าเอาหัวไหนคิด เพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ที่จะเป็นโซ่ข้อเสื่อมเชื่อมอำนาจตุลาการเขาหาระบบยุติธรรม
ช่างเป็นวาทกรรมที่เลื่อนเปื้อนไร้แก่นสารสิ้นดี เพราะอำนาจตุลาการเชื่อมโยงอยู่กับระบบยุติธรรมอยู่แล้ว แต่การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมล้มคำตัดสินของศาลฎีกาต่างหาก ที่กำลังจะทำลายกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ เพราะหากปล่อยให้ผู้มีอำนาจใช้เสียงข้างมากออกกฎหมายล้างความผิดให้กับตัวเองได้ ย่อมหมายถึง อำนาจตุลาการจะอ่อนแอลงจนขาดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะถูกล้มล้างอย่างง่ายดายจากอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
ไม่มีประเทศไหนเขาทำลายระบบยุติธรรมของชาติเพื่อให้นักโทษพ้นผิด เพราะการใช้้อำนาจการเมืองไปแทรกแซงศาล นอกจากจะไม่ได้ตอบโจทย์ใหญ่เกี่ยวกับปัญหาเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการทหาร ที่จดหมายจากชายชราระบุถึงแล้ว ยังเป็นการให้อิสรภาพแก่อาชญากรให้กลับมาก่ออาชญากรรมกับประเทศซ้ำด้วย
ประเด็นที่อ้างกันนักหนาว่า ต้องให้ดำเนินคดีตามกระบวนการปกติตั้งแต่นับหนึ่งนั้น มันก็มีบทพิสูจน์มาแล้วว่าล้มเหลวจากการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นเผด็จการรัฐสภาเหมือนที่ซากการเมืองว่าไว้นั่นแหละ
ถ้าวันนี้ล้มคดีทั้งหมด คิดว่าภายใต้บรรยากาศที่คนชนะคือผู้กำหนดกติกาทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งการชี้ถูกผิด จะเป็นไปได้หรือว่านักโทษที่มีอำนาจล้นแผ่นดินไทยจะติดคุก เพราะเท่าที่เห็นมีแต่จะติดปีกเหิมเกริมในอำนาจมากขึ้นทุกวัน ถึงขั้นประกาศล็อบบี้ศาลปล่อยก่อการร้ายแดง จนฝ่ายตุลาการต้องออกมายืนยันว่าศาลวิ่งเต้นไม่ได้
ยาแก้ปวดที่ส่งมาจากมือชายชราคราวนี้ หากคนไทยหลงเชื่อคิดว่ากินแล้วจะหาย อาจพบตัวเองหมดลมหายใจโดยไม่รู้ตัว
ก็เหมือนอย่างที่ คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายและ คอป.บอกเอาไว้ว่า
“ความปรองดองและความสงบสุขในสังคมจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการปฏิบัติตามหลักกฎหมายและดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมอย่างซื่อตรง เคร่งครัด เพื่อนำตัวคนผิดมาลงโทษโดยไม่สยบยอมต่ออำนาจทางการเมือง หาไม่ ความพยายามในการบิดเบือนหลักกฏหมาย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมอ่อนปวกเปียก ไม่สามารถเอาผิดคนผิดได้นั้น ในที่สุดก็ไม่ต่างจากกระบวนการยุติธรรมของเยอรมันในยุคอดอฟ ฮิตเลอร์ ที่กฎหมายถูกบิดเบือน ศาลยอมหลับตาข้างเดียว จนปล่อยให้คนผิดอย่างฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจและนำโลกเข้าสู่สงครามแห่งหายนะในที่สุด”
จดหมายจากชายชรากำลังบิดเบือนข้อเท็จจริง โฆษณาชวนเชื่อดึงประเทศไทยเข้าสู่หุบเหวแห่งหายนะที่อาจสูญเสียทั้งความเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หากนักโทษชายทักษิณได้กลับมาเป็นใหญ่ครองเมือง!