เอ็นจีโอ “แอมเนสตี้” ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ยกเลิกโทษประหารภายในปี 2556 อ้างเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แนะใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 มี.ค.) นายสมชาย หอมลออ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) พร้อมด้วย น.ส.ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผอ.แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านทาง พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รักษาการเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ยุติโทษประหารชีวิตในประเทศไทยทันที
น.ส.ปริญญาระบุว่า แม้ว่า 141 ประเทศทั่วโลกหรือกว่า 2 ใน 3 ของทุกประเทศได้ยกเลิกโทษประหารทั้งในกฎหมาย และในทางปฏิบัติแล้ว แต่ระบบยุติธรรมทางอาญาของไทยยังคงกำหนดให้ใช้โทษประหาร สำหรับความผิดต่างๆ กัน รวมทั้งความผิดด้านยาเสพติด ซึ่งในรายงานการลงโทษประหารและการประหารชีวิตในปี 2554 ของแอมเนสตี้ฯที่เผยแพร่ในวันนี้ พบว่ามีเพียง 20 ประะเทศที่ทำการประหารชีวิตในปี 2554 หรือคิดเป็นเพียง 10% ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ โทษดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการมีชีวิตตามหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ซึ่งไทยได้เข้าเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง และแผนแม่บทสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2552-2556 ที่รัฐบาลได้ประกาสอย่างเป็นทางการ หนึ่งในตัวชี้วัดต่อความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนนี้ คือตัวชี้วัดกลยุทธที่ 3.1 ว่ามีการยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยเปลี่ยนให้เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต ถือว่าเป็นพันธสัญญาของรัฐบาลที่จะให้ยกเลิกโทษประหารชีสิตในที่สุด
น.ส.ปริญญากล่าวว่า องค์การแอมเนสตี้ฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรักษาพันธสัญญา และเห็นคุณค่าขอบทุกชีวิตอย่างเท่าทเยยมกัน เพราะไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าโทษประหารชีวิตมีส่วนช่วยป้องกันอาชญากรรม รัฐบาลไทยควรพิจารณาสนับสนุนแนวโน้มที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศในทางที่จะยกเลิกโทษประหาร ดังนี้ คือ
ประกาศยุติการประหารชีวิตในทางปฏิบัติอย่างป็นทางการทันที เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติแม่บทว่าสิทธิมนุษยชน โดยมีเจตจำนงที่จะออกกฎหมายให้ยกเลิกโทษประการชีวิตในท้ายที่สุด และให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต และให้ใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทนภายในปี 2556 และประเทศไทยควรให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
