อดีต ส.ว.สรรหา ร้องให้ สตง.สอบและเรียกคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่ม กรณีการสรรหา ส.ว.ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พบผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาฯเป็นบุคคลขัดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (22 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหา ในฐานะผู้ร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิ์สมาชิกวุฒิสภา 31 คน กล่าวว่า ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ร้องขอให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบและเรียกเงินแผ่นดินคืนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้เบิกจ่ายเงินแผ่นดินไปในลักษณะที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณา ว่า การสรรหา ส.ว.ซึ่งตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯมอบหมาย คือ นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ไม่ใช่ผู้พิพากษาศาลฎีกาฯตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ ที่บังคับไว้เฉพาะตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาฯเท่านั้น
นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญมาตรา 219 วรรคสี่ สามารถนำมาเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดว่า ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาฯ ไม่ใช่ผู้พิพากษาศาลฎีกาฯแต่อย่างใด ดังนั้น องค์ประชุมของคณะกรรมการสรรหา ส.ว.จึงประกอบไปด้วย บุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วย ย่อมทำให้ผลการสรรหาเป็นไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณา ว่า นอกจากผลของการกระทำอาจจะเป็นโมฆะเสียเปล่าแล้ว การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมของคณะกรรมการสรรหาทั้งคณะ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 132 ย่อมไม่ถูกต้องและไม่ชอบตามไปด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการ สตง.และ สตง.สมควรจะต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเรียกคืนเงินแผ่นดินจากกรณีดังกล่าว รวมถึงควรเข้าไปตรวจสอบและเรียกคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุมกรรมาธิการ หรืออนุกรรมาธิการ และเงินค่าใช้จ่ายในการศึกษาดูงานที่ถูกเบิกจ่ายไป จาก ส.ว.ทั้ง 73 คน กลับมาเป็นเงินของแผ่นดินต่อไปโดยเร็ว ซึ่งน่าจะมีมูลค่าร่วม 100 ล้านบาท โดยคำนวณได้จากการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ว.ทั้ง 73 คน ที่ปฏิบัติหน้าที่มาเกือบ 1 ปี