กมธ.กล้องซีซีทีวีสภาฯ สรุปพบกล้องวงจรปิดทั่ว กทม.มีพิรุธ ถูกสอดไส้สายเคเบิลใยแก้วเพิ่ม 11 รายการ แพงกว่าความเป็นจริงส่งต่อ ป.ป.ช.สอบต่อ จี้ผู้ว่าฯ กทม.ยุติจัดซื้อล็อตใหม่หมื่นตัว เตือนสหกรณ์ครูทั่วประเทศ ระวังแก๊งตุ๋นหวยหลอกซ้ำ
วันนี้ (22 มี.ค.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องวงจรปิด กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติว่า ประเทศไทยจะไม่ให้มีการใช้กล้องวงจรปิดที่เป็นกล้องปลอมหรือกล้องหลอกอีกต่อไป และการจัดทำสเปกในการจัดซื้อครั้งต่อไป ต้องไม่มีรายละเอียดที่สับสนวุ่นวาย เช่นในการตรวจสอบการจัดซื้อกล้องของ กทม. ที่พบว่าส่อไปในทางทุจริตในการจัดซื้อสายเคเบิลใยแก้วนำแสงที่ราคา 400 บาทต่อเมตร โดยมีการแทรกรายละเอียดอีก 11 รายการเข้าไปเพื่อให้ราคาสูงขึ้น พร้อมมีการคิดค่าขนส่งเมตรละ 7 บาทอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดสังเกต ซึ่งกรรมาธิการจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบต่อไป
นายจิรายุกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันได้เรียกร้องไปที่ผู้ว่าฯ กทม.ยุติการติดตั้งกล้องวงจรปิดอีก 1หมื่นตัว เพื่อรอให้ผลตรวจสอบของ ป.ป.ช.เสร็จสิ้นเสียก่อน ยังเสนอให้สำนักงานตำรวจนครบาลของบประมาณสนับสนุนในการจัดซื้อกล้องดังกล่าวต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สตช.โดยตรงแทนที่จะไปอาศัยงบประมาณของ กทม. เพราะสัญญาณภาพที่ได้รับไม่ได้ย้อนกลับมาที่ สน.ในพื้นที่โดยตรง ทำให้ตำรวจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันถ่วงที ต้องประสานจากหน่วยงาน กทม.ก่อน
นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดซื้อกล้องดังกล่าวในภาคใต้ ยังพบข้อมูลการทุจริตการจัดซื้อที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สตง.ระบุว่า การจัดซื้อในปี 50 ของกระทรวงมหาดไทย พบว่ามีการทุจริตซึ่งเป็นข้าราชการประจำมีส่วนเกี่ยวข้อง ตนจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป
นายจิรายุในฐานะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ แถลงว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี ได้ถูกบริษัท เทวาสิทธิ์ พิฆเนศ จำกัด ซึ่งมีนายศรีสุข รุ่งวิสัย ส.ว.สรรหา ที่ถูก กกต.ให้ใบแดงจากการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นกรรมการบริษัท หลอกเอาเงิน 700 ล้าน ไปมัดจำซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ถูกหลอกไม่ได้รับสลาก โดยบริษัทดังกล่าวอ้างว่าเป็นนายหน้ารับสลากมาจากกองสลาก ทั้งที่กองสลากไม่ทราบเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีแล้ว ขณะนี้อยู่ในการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และอยู่ในกระบวนมีการฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องเอาคืน จึงอยากเตือนสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศให้ระวังการกระทำลักษณะดังกล่าวด้วย