xs
xsm
sm
md
lg

ปูสวยก็เอาไม่อยู่ ทุนต่างชาติขยายลงทุนเพื่อนบ้านเป็นว่าเล่น!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เพิ่งมีข่าวไปหยกๆ ว่า บริษัท ฮอนด้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกสัญชาติญี่ปุ่นได้ย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซียด้วยงบลงทุนมูลค่า 337 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,000 บาท เหตุผลก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า “ความไม่เชื่อมั่น” ในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเป็นการประกาศย้ายฐานการลงทุนใหม่หลังจากที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพิ่งนำทีมไปเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล และนักลงทุนที่นั่น เนื่องจากมีการลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด

ขณะเดียวกัน จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้วนอกจากสร้างผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยมหาศาลแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่น รวมไปถึงกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากไทยนอกจากเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายแล้วยังมีบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ เมื่อบริษัทเหล่านี้หยุดการผลิตก็ไม่อาจส่งออกไปข้างนอกทำให้กระทบสายการผลิตไปทั่ว

สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น การที่ “ฮอนด้า” ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย นั่นแสดงให้เห็นชัดว่าพวกเขา “ไม่เชื่อมั่น” ต่อรัฐบาล และแสดงให้เห็นว่าการเดินทางไปเยือนของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ที่ผ่านมาไม่ได้ประสบความสำเร็จตามที่อ้าง

ตรงกันข้ามยังมีแนวโน้มออกมาในทางลบอีกด้วยเมื่อบริษัทฮอนด้าที่เป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ประกาศย้ายฐานการผลิตแบบนี้มันก็ย่อมส่งผลกระทบในแง่ภาพลักษณ์ สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการป้องกันแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าจะทำให้บริษัทอื่นๆ ขยับตามไปด้วย เพราะก่อนการย้ายการลงทุนย่อมผ่านการตัดสินใจภายใต้ข้อมูล มีการศึกษาตรึกตรองเอาไว้อย่างรอบคอบ อย่างไรก็ดีแม้ว่าในความเป็นจริงอาจยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างมาประกอบไม่ใช่เรื่องน้ำท่วมอย่างเดียว เช่น ค่าแรงที่ถูกกว่า ระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่มีจำนวนประชากรจำนวนมากเป็น “ตลาดใหม่” ที่เป็นดาวรุ่งในย่านเอเชีย มันก็พอมองเห็นอนาคตทางด้านความคุ้มค่าในเรื่องผลกำไรตามระบบทุนนิยม

อย่างไรก็ดี มันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเมื่อล่าสุด วานนี้ (21 มีนาคม) คาร์ลอส กอน ประธานบริษัท นิสสัน ก็ได้ประกาศว่าบริษัทจะลงทุนราว 400 ล้านดอลลาร์ นั่นก็อีกกว่าหมื่นล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ใกล้กับกรุงจาการ์ตา ในอินโดนีเซียเพื่อส่งออกไปยังตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก

นอกจากนี้ ตามข่าวยังมีบริษัทรถยนต์อีกหลายประเทศทั้งจากสหรัฐฯ และยุโรป ต่างเข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เวลานี้ได้กลายเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียนแซงหน้าไทยไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าวันเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ พร้อมด้วยผู้จัดการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ของฮอนด้าประเทศไทย และเลขาธิการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ร่วมกันแถลงยืนยันว่าไม่ได้เป็นการย้ายฐานการลงทุน แต่เป็นการลงทุนรถขนาดเล็กที่กำลังเติบโตที่นั่นรวมทั้งเป็นการลงทุนตามปกติที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ความหมายที่มีการแถลงดังกล่าวก็เพื่อไม่ให้เกิดเกิดความเสียหายไปมากกว่าเดิม ความหมายก็คือการลงทุนของฮอนด้าคราวนี้ก็เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งก็มาจากไม่มั่นใจนั่นแหละ เพราะถ้ามั่นใจก็ต้องขยายการลงทุนในไทยเพิ่ม เพราะมีทุกอย่างพร้อม แต่เมื่อแบ่งไปลงทุนที่อื่นก็ต้องบอกว่าเพื่อหาต้นทุนและตลาดรวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ ที่ดีกว่าใช่หรือไม่

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พอมองเห็นได้ว่าในด้านการลงทุนไม่ว่าจะเป็นระดับใหญ่และระดับกลาง ประเทศไทยเริ่มสูญเสียความได้เปรียบด้านการดึงดูดการลงทุนให้กับคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกเหนือจากอินโดนีเซียแล้วยังมีเวียดนาม และล่าสุดยังมีพม่าที่กำลังเปิดตลาด มีการต้อนรับนักลงทุนอย่างเต็มที่ในอนาคตอันใกล้ ทำให้น่าเป็นห่วง

ประกอบกับนโยบายประชานิยม ที่ฉาบฉวยเฉพาะหน้าก็เริ่มส่งผลกระทบออกมาในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรงวันละ 300 บาท ที่กระทบไปถึงต้นทุนที่สูงขึ้น นโยบายรับจำนำข้าวนี่ก็เริ่มส่งผลกระทบเช่นเดียวกัน เพราะทำให้ข้าวไทยเริ่มสูญเสียการแข่งขัน เนื่องจากมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่ง จากรายงานล่าสุดพบว่าไทยส่งออกในช่วงเดือนมกราคมน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่เมื่อสำรวจดูราคาสินค้าเกษตรอื่นๆ กลับราคาตกต่ำไม่ว่าจะเป็น มันสำปะหลัง อ้อย หอม กระเทียม แต่กลับกลายเป็นว่าเวลานี้ราคาปุ๋ยเคมีได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว โดยอ้างต้นทุนที่สูง

นี่คือความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น และนาทีนี้ไม่ต้องมาพูดเรื่องของแพงกันอีกต่อไปแล้ว เพราะมัน “โคตรแพง” และไม่ใช่แพงตามความรู้สึก อย่างที่รัฐบาลกำลังสร้างกระแสขึ้นมากลบเกลื่อน เพื่อรักษาความนิยมให้คงอยู่

สิ่งที่สำคัญก็คือ แม้ว่าเราต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนตามตลาดโลก เช่น น้ำมันแพง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี มีการวางนโยบายที่สร้างประโยชน์ระยะยาวให้กับประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยในหมู่เครือญาติ และตัวผู้นำจะต้องมีความสามารถ สร้างความหวังให้กับชาวบ้าน เพราะนับวันเรามีแต่นายกรัฐมนตรีที่แต่งตัวสวยงาม แต่ไร้สติปัญญา ไม่สามารถพึ่งพาได้

ดังนั้น แม้ว่าการย้ายการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของนักลงทุนต่างชาติดังกล่าวอาจยังไม่อาจพูดได้เต็มร้อยว่าเป็นการ “ย้ายหนี” เป็นการพูดเพื่อรักษาน้ำใจ และยังรักษาตลาดในบ้านเราที่ยังมีอยู่สูง แต่การขยายการลงทุนออกไปทั้งในประเภทอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เราเคยประกาศว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” บัดนี้ก็ทำท่าเสียแชมป์ให้กับอินโดนีเซียแล้ว หรือแม้แต่การส่งออกข้าว เราก็เริ่มเสียตลาด ส่วนหนึ่งก็มาจากนโยบายประชานิยมที่สร้าง “มายา” ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเรากำลังมีแนวโน้มสูญเสียทุกอย่าง เพราะหลงทางไปไม่เป็น นั่นเอง!!
กำลังโหลดความคิดเห็น