“สนธิ” เชื่อ ตร.เพิ่มข้อหา 46 พันธมิตรฯ หวังต่อรอง เลิกข้อหาก่อการร้ายให้เสื้อแดงพร้อมบีบ พธม.หนุน พ.ร.บ.ปรองดอง ฟอกผิด “ทักษิณ” ยันไม่ร่วมด้วยเด็ดขาด พร้อมค้านนิรโทษกรรมถึงที่สุด เตรียมออกเอเอสทีวี เปิดโปงแผนอเมริกาสร้างเรื่อง หาเหตุตั้งฐานทัพในไทยเร็วๆ นี้
วันนี้ (24 ก.พ.) เมื่อเวลาประมาณ 13.45 น.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในหน้าแฟนเพจ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ว่า บ่ายวันนี้ (24 ก.พ.) คุณสนธิ ลิ้มทองกุล (แกนนำพันธมิตรฯ) ให้ความเห็นต่อกรณีที่ตำรวจเพิ่มข้อหาก่อการร้ายให้กับพันธมิตรฯ 46 คน ว่า:
“โดยส่วนตัวจะไม่ปรองดอง และไม่ว่าจะเพิ่มข้อหาอย่างไรก็จะคัดค้านการนิรโทษกรรมอย่างถึงที่สุด เพราะมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และสามารถพิสูจน์ด้วยกระบวนการในชั้นศาลแน่นอน แม้ว่าจะถูกกลั่นแกล้งในชั้นตำรวจก็ตาม
เพียงแต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นการสร้างอำนาจต่อรองเพื่อให้อัยการอ้างเหตุให้ยกเลิกข้อหาก่อการร้ายให้คนเสื้อแดง โดยจะอ้างเหตุว่าจะยกเลิกข้อให้กับพันธมิตรฯ ด้วย และอ้างว่าเพื่อความปรองดอง ตลอดจนอาจหวังจะให้พันธมิตรฯ ไม่คัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมในชื่อ พ.ร.บ.ปรองดอง หรือการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดในอดีตให้กับทักษิณและพวกพ้องด้วย โดยที่ตำรวจสายเนวินต้องการเอาใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเพื่อให้สามารถเจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานได้ต่อไป
คดีกลั่นแกล้งเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งเรื่องทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เดิมทำไปเพื่อหวังจะกดหัวและกลั่นแกล้ง (เหมือนเอาห่วงคล้องคอ) พันธมิตรฯ โดยปล่อยให้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะชุดสอบสวนที่บอกว่าพันธมิตรฯเป็นผู้ก่อการดีให้มาเป็นตำรวจเครือข่ายเนวิน จับมือกับสุเทพที่หวังกำจัดพันธมิตรฯ ที่มาตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงการประกาศใช้ฎหมาย พ.ร.บ.ความมั่นคงกับพันธมิตรฯ ที่มาชุมนุมเพื่อตรวจสอบรัฐบาลเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อันเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้ได้รับโทษทางอาญาเพิ่มเติม เมื่อคดีค้างไว้จนสิ้นสมัยตัวเองจึงเป็นอาหารที่เสิร์ฟต่อมาให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมากดปุ่มสวมตอต่อเพื่อทำร้ายพันธมิตรฯ ในวันนี้
ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กลับเอาใจคนเสื้อแดง ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนการประกันตัวคนเสื้อแดงโดยมติคณะรัฐมนตรี จนในที่สุดสามารถมาสมัครเป็น ส.ส.ได้เป็นจำนวนมาก
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยอมส่งคดีทหารให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษในข้อหาว่าทหารฆ่าประชาชนคนเสื้อแดง (เหมือนเอาห่วงคล้องคอทหาร) ทั้งๆ ที่ทหารเขายอมสละชีพเพราะตามคำสั่งของรัฐบาลที่เข้าไปในที่ชุมนุมที่มีอาวุธสงครามด้วยมือเปล่า จนรัฐบาลชุดนี้จบลงไปคดีก็เสิร์ฟมาต่อให้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาทำร้ายทหารในวันนี้ โดยอัยการได้ส่งให้ศาลอาญาไต่สวนไปแล้ว 1 คดี กล่าวหาว่าทหารวิสามัญฆาตรกรรม และจะดำเนินคดีกับทหารต่อไปอีก 15 ศพ
ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ากระบวนการอยุติธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นและตั้งเรื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น เพียงเพราะต้องการเอาตัวเองรอด ยอมทำให้เกิดความอยุติธรรมแม้กระทั่งคนที่เขายอมเสีสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ
การเมืองทุกวันนี้จึงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นักการเมืองทำเพื่อประโยชน์ตัวเองทั้งสิ้น และเป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า นักการเมืองทุกฝ่ายส่วนใหญ่บัดซบหมดทั้งสิ้น!”
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังโพสต์ข้อความว่า การที่ตำรวจดำเนินการเพิ่มข้อหาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 46 ราย และเตรียมขอหมายจับนั้น (รวมตนด้วย) ขอเรียนให้ทราบดังนี้ 1.เรายังคงยืนหยัดเช่นเดิมที่จะพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลอย่างถึงที่สุด และจะดำเนินการดำเนินคดีกลับเจ้าหน้าที่รัฐที่กลั่นแกล้งยัดเยียดข้อหาอันเป็นเท็จอย่างถึงที่สุดเช่นกัน 2. เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นผลทำให้เราเปลี่ยนจุดยืน และเรายังคงยืนหยัดที่จะคัดค้านการนิรโทษกรรมอย่างถึงที่สุดเช่นกัน แม้ต่อให้สมมติว่า เราถูกพิพากษาตัดสินให้มีความผิด (ไม่ว่าจะเป็นธรรมหรือไม่ก็ตาม) ก็พร้อมรับโทษนั้นเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ และบรรทัดฐานให้กับสังคมไทยต่อไป และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการเพื่อพิสูจน์ความจริง และขอให้ยอมรับผลแห่งกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลาประมาณ 11.24 น.วันเดียวกัน นายปานเทพ ได้โพสต์ข้อความว่า วันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เล่าให้ฟังถึงทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดของชาวต่างชาติตั้งแต่สมัยอยุธยาที่เข้ามาในสยามเพื่อเผยแผ่ศาสนา ร่วมรบเลือกข้างที่จะเอื้อประโยชน์เพื่อสูบความมั่งคั่งให้กับฝรั่ง มาจนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และต่อมายังราชวงศ์จักรีที่มีการแทรกแซงในราชสำนักและการเมืองในหลายุคหลายสมัย ต่อเนื่องมาจนถึงที่มาของบางคนในคณะราษฎรที่มีความเชื่อมโยงกับบางตระกูลที่มีบทบาททางการเมืองในเวลาต่อมา จนถึงยุคปัจจุบันที่มีการแทรกแซงเพื่อความมั่งคั่งและเข้ามาแทรกแซงต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยเป้าหมายหลักยังคงเหมือนเดิมคือ
1.สูบความมั่งคั่งโดยทุนสามานย์
2.บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา(เพื่อนำไปสู่การทำลายความพอเพียงและให้เป็นวัตถุนิยมมากขึ้น)
และเป้าหมาย 2 ประการนี้ยังคงต้องเข้าบ่อนทำลายภูมิคุ้มกันหลัก 2 ประการคือ
1.ความเป็นชาตินิยม
2.สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม เป็นผู้ทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนาและทุกศาสนาในประเทศไทย ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจในคุณงามความดี และทรงเป็นต้นแบบและทรงเผยแพร่เศรษฐกิจพอเพียง
และเพื่อดำเนินการดังนี้นายสนธิวิเคราะห์ขั้นตอนลำดับต่อไปจากแหล่งข่าวทราบมาว่าหลังจากนี้จะมีการสร้างสถานการณ์การก่อความไม่สงบในหลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเปิดให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย และเมื่อเข้ามาได้แล้วก็จะไม่มีวันออกไป เพื่อมาปกป้องผลประโยชน์และจะใช้เป็นหลักประกันพิทักษ์รักษาขบวนการสูบความมั่งคั่งจากประเทศไทยต่อไป (ไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนขั้วหรือถูกรัฐประหารก็ตาม) ซึ่งประชาชนชาวไทยจะต้องลุกขึ้นต่อสู้และไม่ยินยอมโดยเด็ดขาด
“ทั้งนี้ คุณสนธิ แจ้งว่า จะหาโอกาสเปิดข้อมูลเหล่านี้อีกครั้งทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV เร็วๆ นี้” นายปานเทพ ระบุ