“ปณิธาน” เตือนไทยอย่าประมาทกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ ชี้ความขัดแย้ง “สหรัฐฯ-อิหร่าน” ตึงเครียด ยิ่งเพิ่มปัจจัยเสี่ยง “ปานเทพ” แนะต้องระวังการแสดงท่าทีทางการทูต อย่าเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พร้อมย้ำความขัดแย้งในประเทศจะเพิ่มการพึ่งพาทหารมะกันไปโดยปริยาย ต้องระวังอย่าหลงในเกม
วันที่ 22 ก.พ. รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
โดย นายปณิธานกล่าวว่า ก็ต้องระวังมากขึ้นเพราะขณะนี้เกิดความตึงเครียดค่อนข้างมากระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเทศพันธมิตรกับอิหร่าน ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านเคยถึงขั้นประกาศว่าจะกำจัดอิสราเอลออกจากแผนที่โลก อิสราเอลก็คงกลัวและพยายามสกัดด้วยวิธีการหลายอย่าง หลายครั้งก็ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ และเผชิญหน้ากันในหลายพื้นที่ รวมถึงไทยด้วย 3 ปีที่ผ่านมา คนทางอิหร่านและจากประเทศแถบนั้น เข้ามาดำเนินการในไทยแล้วถูกควบคุมตัวได้ 6-7 ครั้ง มีเข้ามาถ่ายรูป เข้าไปยังสถานทูต และสถานที่ประกอบการหลายๆแห่ง ทำให้เรารู้สึกว่า มีการยกระดับการทำงานในบ้านเรา และยิ่งเมื่อสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นก็ยิ่งต้องระวัง
นายปณิธานกล่าวต่อว่า นิยามก่อการร้ายของทางการไทยแคบมาก จนไม่ตรงกับความรู้สึกของประชาชน อย่างการโยนระเบิดพยายามฆ่าแท็กซี่ ชาวบ้านก็ไม่คิดแล้วว่าคนเหล่านี้เป็นคนธรรมดา ประชาชนคิดอีกแบบ แต่รัฐอธิบายอีกแบบ ทำให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นไปอีก
ส่วนการดำเนินนโยบายทางการทูตของไทย นายปณิธานกล่าวว่า เราก็ทำได้อย่างเหมาะสม ทางการทูตไทยมีความสัมพันธ์กับอิสราเอลมายาวนาน ขณะเดียวกันก็สนับสนุนปาเลสไตน์ตั้งรัฐอิสระ ซึ่งอิสราเอลก็ไม่พอใจเรามาก ถ้าพูดถึงนโยบายทางการทูต ยังสมดุลอยู่ แต่อาจเอียงไปบางครั้ง ทางด้านอเมริกาต้องยอมรับว่าเรามีความสัมพันธ์กันมายาวนาน มีซีไอเอใช้ชีวิตอยู่ในไทยเยอะ แต่ต้องไปสอดส่องว่ายังทำงานอยู่หรือไม่
แต่ที่ต้องระวังคือทางการทหาร เพราะข่าวกรองเรายังไม่เชี่ยวชาญ ต้องกรองให้ดี ที่สุดแล้ว พื้นที่ของไทยเสี่ยงมากขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ 14 กุมภาพันธ์ เพราะเกิดการปฏิบัติการจริงขึ้นมา ไว้วางใจไม่ได้
นายปณิธานยังกล่าวอีกว่า โชคดีที่ไทยยังไม่ใช่พื้นที่หลักในการก่อการร้าย เฉลี่ย 2-3 ปีครั้ง นับตั้งแต่ปี 2015 แต่ขณะนี้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น มีการเข้ามาเคลื่อนไหวมากขึ้น รวมถึงความสะดวกทาง เทคโนโลยี เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติทำงานได้ง่าย พูดง่ายๆคือแค่เข้ามาแต่ตัว ก็เข้าสู่ขบวนการได้ แล้วเอาผู้หญิงบังหน้าช่วยยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด แล้วมีการจ่ายสินบน เช่าบ้านได้ง่าย ไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งเราต้องปรับทัศนคติ ประมาทไม่ได้อีกต่อไป ตอนหลังถึงได้มีการสั่งให้ระวังการสัมภาษณ์ ในการให้ข่าว เพราะจะทำให้ดูเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง และต้องจัดระบบให้ดีกว่านี้ ขนาดสถานทูตที่เป็นเป้าหมาย ยังมีคนดูแลน้อยมาก
ประเด็นต่อมา การที่แสดงออกบ่อยๆ พูดมากๆ ก็อันตราย เพราะถ้าพูดพลาดเกิดปัญหาทันที การไประบุว่าผู้ก่อเหตุเป็นใครอันนี้อันตรายมาก แต่ก็ยากเพราะห้ามคนหยุดพูดยาก
สุดท้ายต้องสร้างเครือข่ายใหม่ๆในต่างประเทศ เราจะรู้ความเคลื่อนไหวตรงนี้ได้ต้องมีเครือข่ายทั้งในบ้าน ในตะวันออกกลาง และตะวันตก โดยเฉพาะถ้าเป็นพันธมิตรกับตะวันออกกลางจะดีมาก แต่หน่วยงานเราไม่ค่อยทำงานกับกลุ่มตรงนี้ ฉะนั้นเราสามารถสร้างเครือข่ายแล้วมีข้อตกลง แต่อย่าตกลงแล้วไม่ทำ แบบที่ผ่านๆมาหลายอย่างไปตกลงแล้วไม่ทำจริง เขาก็สงสัยว่าเราเอาจริงหรือไม่ นำไปสู่การติดบัญชีดำหลายครั้ง แต่ถ้าไม่ทำ ต่อไปประเทศไทยจะเป็นสวรรค์ของผู้ก่อการร้าย
ด้าน นายปานเทพกล่าวว่า ประเทศไทยเหมือนเป็นสวรรค์ผู้ก่อการร้าย เพราะเข้าประเทศได้อย่างง่ายดาย ท่าทีของประเทศไทยก็สำคัญมาก ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง ต้องเข้มงวดกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง วางท่าทีทางการทูตให้เหมาะสม ไม่เป็นศัตรูใครโดยไม่จำเป็น
แต่ประเทศไทยที่ผ่านมาบางทีดูจะเลือกข้างอเมริกามากกว่า เพราะมีความสัมพันธ์ทางทหารมานาน แต่ลักษณะการแสดงออกสำคัญ เช่นการจับแล้วประกาศเลยว่าคือใคร ทั้งๆที่ยังไม่แน่ ควรเป็นข้อห้ามข้อแรกๆเลย ทำให้ท่าทีประเทศไทยเป็นมิตรน้อยลงในสายตาประเทศที่ถูกกล่าวหา อันนี้ต้องระวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสหรัฐฯพูดว่าไทยเป็นดาวรุ่งในตะวันออกเฉียงใต้ ต้องตระหนักเสมอว่า กระบวนการใดก็ตามที่นำไปสู่ความขัดแย้ง มันสร้างการพึ่งพาทางการทหารของอเมริกาเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย ฉะนั้นถ้าเราหลงในเกม หรือความเชื่อทางใดทางหนึ่ง และไม่ระมัดระวังทางการทูต สุดท้ายอาจถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความรุนแรงมากขึ้นโดยไม่จำเป็น อาจบอกได้ว่าเวลานี้เรามีความสัมพันธ์กับอเมริกายาวนาน แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เราต้องไม่เอาใจอเมริกาไปซะทุกอย่าง และไม่ใช่เอาใจประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องเอาใจคนไทย โดยให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม