xs
xsm
sm
md
lg

แก้ รธน.ล้างผิด “แม้ว” ไม่หมู คนรู้ทันดาหน้าขวางเพียบ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ตอนแรกแค่ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” แต่งตั้งที่ปรึกษาจำนวน 10 คนเพื่อศึกษาประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันก่อนได้ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้พอสมควร ทำให้พรรคเพื่อไทยเก็บอาการไม่อยู่ออกมาโวยวายหาว่าเป็นเครื่องมือของเครือข่ายเผด็จการ

อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งก็คือพรรคเพื่อไทย และหมายรวมถึง ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ

ก็จะไม่ให้เครือข่ายทักษิณหวั่นไหวได้อย่างไร ในเมื่อคณะที่ปรึกษาติดตามและศึกษาประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวล้วนแล้วแต่ระดับ “กูรู” ปรมาจารย์ทางกฎหมาย และทางรัฐศาสตร์ทั้งสิ้น เอ่ยชื่อมาแต่ละคนก็ต้องซู้ดปากแน่นอน เช่น นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สำคัญเป็นอดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ เป็นต้น

ต้องยอมรับว่าทุกรายชื่อที่ยกมาแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีน้ำหนัก โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมาการยกร่างรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งแทบทุกฉบับล้วนแล้วแต่มีคนพวกนี้เข้าไปเกี่ยวข้องแทบทุกฉบับ ถือว่ามีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการให้เหตุผลก็ยังถือว่ามีน้ำหนัก

ที่น่าสนใจก็คือ การแต่งตั้งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ตรวจการฯคราวนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เหมือนกับว่าเป็นการดึงเอาบรรดากูรูดังกล่าวมาพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ให้ถูกย่ำยีกันตามอำเภอใจจากฝ่ายพรรคเพื่อไทยที่มีเงาของ ทักษิณ ชินวัตร บงการอยู่ข้างหลัง

สำคัญก็คือ หากมองให้ลึกลงไปก็คือการลุกขึ้นมา “ป้องกันตัวเอง”ของ ผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างทันท่วงที เพราะรู้กันอยู่แล้วว่า เป้าหมายของการ “รื้อ-ฉีกทิ้ง” รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีเป้าหมายพุ่งไปที่ “องค์กรอิสระ” อย่างตำแหน่งผู้ตรวจการชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกเหนือจากองค์กรตุลาการต่างๆ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น รวมไปถึงเสี่ยงต่อการกระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกด้วย

แค่นี้ก็ถือว่าสั่นสะเทือนไม่เบาแล้ว เพราะนี่ถือว่าเป็น “หางเสือ” ให้กับสังคมได้หูตาสว่างได้มากพอสมควรแล้ว

ล่าสุดภาคประชาชน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้นัดเคลื่อนไหวประชุมระดับแกนนำทุกระดับในวันที่ 10 มีนาคม เพื่อติดตามสถานการณ์ และชุมนุมทันทีหากเห็นว่าเป็นการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดให้แก่คนเพียงคนเดียว ซึ่งหากพูดให้ตรงไปตรงมารับรู้กันอยู่แล้วว่าหมายถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็นเจ้าของทุกอย่างทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์

ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวภายในรัฐสภา ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีชัดเจนมากขึ้นว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของฝ่ายทักษิณ และล่าสุดวานนี้ (22 กุมภาพันธ์) กลุ่ม 50 ส.ว.ก็ได้แสดงจุดยืนค้านการแก้ไขอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกัน

เมื่อประมวลภาพรวมทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันก็เริ่มมองเห็นแล้วว่า ความพยายามของทักษิณ ที่คิดบงการให้ลูกสมุนก่อการ “รัฐประหาร” ฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยใช้กระบวนการเสียงข้างมากในรัฐสภาแบบ “ทุนสามานย์” มันก็ไม่ง่ายดายดังที่คิดวางแผนเอาไว้ เพราะหากพิจารณากันตามความเป็นจริง สิ่งที่ฝ่ายทักษิณมักหยิบยกขึ้นมาอ้างก็คือเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากเผด็จการเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงเนื้อหาสาระข้างใน หากบอกว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ที่ทักษิณ ใช้ประโยชน์เป็นรัฐธรรมนูญดีที่สุดแล้วก็ต้องถือว่าฉบับปัจจุบันมีการต่อยอดดียิ่งกว่าเดิม และยังเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีการลงประชามติ ดังนั้นถ้าคิดจะปู้ยี่ปู้ยำทำไมไม่ถามชาวบ้านก่อน

แต่ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้นก็คือ นับวันยิ่งมีคนรู้ทันเรื่องการ “เอาเปรียบ” ของทักษิณมากขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลน้องสาวของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ทำได้อย่างที่เคยคุยโม้เอาไว้บ้าง มีแต่สะสมความไม่พอใจมากขึ้นทุกวัน หรือพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไร้ความสามารถ ทำนอง “ทำงานไม่เอาไหน แต่คิดขอใช้สิทธิพิเศษ” เหนือคนอื่น แบบนี้นอกจากไม่ให้แล้ว ถ้าอยู่ใกล้ๆก็ต้องยันถีบให้ตกเก้าอี้ประมาณนั้นแหละ

ดังนั้น เชื่อว่านับจากนี้ไปกระแสความไม่พอใจของสังคมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีโอกาสก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองเกิดขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้มีแนวโน้มหนักหน่วงกว่าเดิม เพราะบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะคนที่เกลียดเป็นทุนเดิมก็เกลียดหนักกว่าเก่า ขณะที่พวกที่เคยรัก แต่ผิดหวังก็กลายเป็นอารมณ์โกรธ ความรู้สึกเหมือนถูกหลอกใช้ ขณะที่อีกฝ่ายก็มีการปูนบำเหน็จซื้อใจกันเต็มพิกัด งานนี้น่าเป็นห่วง แต่ในที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ ถ้าสังคม “ตาสว่าง” โอกาสที่จะใช้เสียงข้างมากในสภามาลบล้างความผิดมันก็เป็นเรื่องยาก!!
กำลังโหลดความคิดเห็น