ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ก็น่าเห็นใจที่พรรคเพื่อไทยและลิ่วล้อทุกระดับในรัฐบาลต่างพยายามเบี่ยงเบนเรื่องราวบนสวรรค์ชั้น 7 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ให้กลายเป็นเรื่อง “ย่ำยีเพศแม่” เพื่อเรียกร้องความสงสารให้กับ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คล้ายกับว่ากำลังถูกผู้ชายรุมย่ำยีทำร้าย แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันตามความเป็นจริงตามเนื้อผ้า มันก็ต้องถึงเวลาที่ต้องเค้นหาความจริงกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที
เพราะความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีแนวโน้มเข้าข่ายการทำ “ผิดจริยธรรม” ซึ่งจริยธรรมที่ว่านั้นคือการนำ “ข้อมูลภายใน” ไปเปิดเผย เพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับผลประโยชน์เหนือคนอื่น เป็นการเอาเปรียบ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้เคลียร์ จะมาพูดแบบขอไปทีว่า “ไม่มีอะไรเสียหาย” หรือ อย่ามา “รังแกผู้หญิง” อย่างที่พรรคเพื่อไทยกำลังพยายามเบี่ยงเบนทำให้เป็นอยู่ เพราะเวลานี้ความอยากรู้อยากเห็นของสังคมมันเลย “เลยเถิด” เกินกว่าที่จะรับรู้เรื่องชู้สาวสกปรกแบบนั้นไปแล้ว
ชาวบ้านอยากรู้ว่ากลุ่มนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่เข้าไปร่วมวง “หารือลับ” กันกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง มี “ใคร” บ้าง
ตอนแรกรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้ข้อมูลระหว่างรับหน้าที่มาเป็นโฆษกฯส่วนตัวของนายกฯยิ่งลักษณ์ บอกว่า มีคนเข้าร่วมประชุมราว 7-8 คน แต่ต่อมา เศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารบริษัทแสนสิริกรุ๊ป ตัวละครสำคัญก็ออกมาเปิดเผยว่า มี 6-7 คน พร้อมทั้งอ้างว่ามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนหลายเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ การเงินและดอกเบี้ย สารพัด
ขณะที่นายกฯ ปูคนสวยของเราก็บอกไปอีกทางไม่ได้ไปประชุม ถ้างั้นก็ไปเรื่องส่วนตัวอย่างนั้นหรือ แถมยังโพล่งขึ้นมาเองโดยที่ไม่มีใครถามว่า “ไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย” ความหมายถ้าให้เข้าใจก็คือไม่มีเรื่อง “อย่างว่า” หรือเปล่า
นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปพิจารณาจากคำชี้แจงของบรรดาสมุนน้อยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เท่าที่จับอาการได้และพอให้ราคาบ้างก็เห็นจะเป็นคำแถลงของ นพดล ปัทมะ ที่อุตส่าห์ออกมาช่วยปฏิเสธให้อีกแรงว่า ไม่มีเรื่อง “ชู้สาว” ทำเอาทุกคนหูผึ่ง ใครที่ไม่เคยสนใจก็สนใจก็หันมามองเป็นตาเดียว ส่วนคนที่คิดเรื่องแบบนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์กระเจิดกระเจิงไปไกลแล้ว
อย่างไรก็ดี นาทีนี้อย่างที่ระบุเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าเมื่อปะติดปะต่อจากตัวละครทั้งหลายที่เข้าร่วม หรือ “ปล่อย” ออกมาว่าเข้าไปร่วมวง นอกเหนือจาก เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กแสนสิริ และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะคนคุ้นเคยแล้ว ตอนหลังยังอ้างว่ามี อนันต์ อัศวโภคิน ขาใหญ่ที่ดินจากแลนด์แอนด์เฮาส์ แล้วยังมี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็ต้องมีการตรวจสอบและชี้แจงให้กระจ่างโดยเร็ว อย่าพยายามบิดเบือนเป็นอย่างอื่นเป็นอันขาด
เพราะนี่คือปัญหาเรื่องจริยธรรม เป็นคำถามที่สังคมต้องการให้นายกรัฐมนตรีต้องชี้แจง โดยไม่จำเป็นว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย เวลานี้คนชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำประเทศจะต้องมีความโปร่งใส เพราะข้อมูลรวมถึงตัวบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องถูกสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีการนำเอา “ข้อมูลภายใน” มาเปิดเผยให้รับรู้ เป็นการเอาเปรียบคนอื่น
เวลานี้สังคมกำลังปะติดปะต่อเรื่องการเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่ การเลื่อนการกำหนดพื้นที่ผังเมืองใหม่ออกไป รวมถึงยังไม่มีการกำหนดพื้นที่ฟลัดเวย์เพื่อรองรับน้ำท่วมออกมาให้ชัดเจน ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกว้านซื้อที่ดินและเก็งกำไรที่ดินของพวกกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่เป็นเครือข่ายเดียวกันหรือไม่
แม้ว่าเรื่องชู้สาวก็น่าสนใจ และน่าสงสัย เพราะยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งอยากรู้ แต่สิ่งที่น่าสนใจเร่งด่วนตอนนี้คือผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่อง “เปิดเผยข้อมูลภายใน” ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศต้องชี้แจงด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าตรวจสอบอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้แต่ละคนออกมาปฏิเสธแล้วเรื่องจบกันแค่นั้น เพราะมั่นใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะถ้าไม่ต้องการหรือไม่พร้อมให้ตรวจสอบก็ต้องลาออกไป!!