ส.ว.พัทลุง จี้รัฐทบทวนปัญหาไฟใต้ แนะนายกฯ ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ด้าน “ส.ว.วีรวิท” หวั่นคันกั้นน้ำนิคมทำชาวบ้านเดือดร้อนเหมือนบิ๊กแบ็ก วอนทำเท่าที่จำเป็นเน้นส่งน้ำสู่ทะเล-ศึกษาผลกระทบรอบด้าน-เยียวยาชุมชนเพิ่ม
วันนี้ (20 ก.พ.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. การประชุมวุฒิสภา โดยมี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม เมื่อเข้าสู่ช่วงหารือ นายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง กล่าวว่า เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนในภาคใต้ที่ไม่ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้น นอกจากจะเป็นความตายรายวัน และยังเป็นความเจ็บปวดของคนไทยทั้งประเทศด้วย ซึ่งจากการติดตามข่าวสารตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค. 2555 มีจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว 33 ราย บาดเจ็บอีก 41 ราย และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตถึง 2 นาย วันที่ 17 ก.พ. คนร้ายได้ลอบเผาทำลายกล้องวงจรปิดถึง 16 จุด และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.นราธิวาส ก็ถูกยิงเสียชีวิต ต่อจากนั้นวันที่ 18 ก.พ. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี ถูกยิงเสียชีวิตเช่นกัน ทั้งที่พวกหมอกับครูซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางประกอบกับไม่มีอาวุธแต่อย่างใดในตัวอยู่แล้ว ดังนั้น รัฐบาลต้องช่วยคุ้มครองชีวิตพวกเขาให้ได้
“ผมก็เห็นใจนายกรัฐมนตรีที่ตั้งใจทุ่มเทกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องนี้แล้วรัฐบาลยังจำเป็นที่จะต้อง 1. ทบทวนนโยบายแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วย ถ้าไม่ทบทวนก็ต้องประเมินสถานการณ์อยู่ตลอด และ 2. ยังต้องร่วมลงมาแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการช่วยปลุกขวัญข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงประชาชนด้วย” นายเจริญกล่าว
ด้าน พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอฝากไปถึงรัฐบาลเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การสร้างคันกั้นน้ำ เพื่อป้องกันอุทกภัยในระยะสั้นและระยะยาว ที่จะมีการจัดทำคันกั้นน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรม บางแห่งมีความสูง 6 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และการจัดทำบางแห่งมีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมบางบริเวณ ขณะเดียวกัน บางส่วนควบคุมทิศทางการระบายน้ำ ซึ่งบทเรียนที่ผ่านมาการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในการสร้างคันกั้นน้ำบิ๊กแบ็คนอกคันกั้นน้ำได้รับผลกระทบ น้ำท่วมสูง และน้ำขังนาน ซึ่งกระทบถึงสิทธิส่วนบุคคล สิทธิของชุมชน ในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพเป็นอย่างมาก รวมทั้งทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชน จึงอยากเสนอให้รัฐบาล 3 ประเด็น คือ 1. การทำคันกั้นน้ำควรจัดทำเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงเส้นทางระบายน้ำไปสู่ทะเลเป็นหลัก การจัดทำคันกั้นน้ำระหว่างคู คลอง ควรทำทั้งสองฝั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม 2. การจัดทำคันกั้นน้ำรัฐบาลควรศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน ตั้งแต่แนวทางเดินน้ำ สิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ หากมีความจำเป็นที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรพิจารณาเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบในทุกกรณีอย่างสมเหตุสมผล 3. ควรพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากทำคันกั้นน้ำของรัฐบาลที่ผ่านมาเพิ่มเติมจากหลักการเดิมเหมือนทุกแห่ง เนื่องจากรัฐบาลทำให้น้ำท่วมขังนาน
