รายงานการเมือง
เหตุระเบิดสามครั้งซ้อนที่สุขุมวิท 71 เมื่อสองวันที่ผ่านมา ไม่เพียงเป็นความสยองขวัญรับวันวาเลนไทน์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนไปถึงพื้นที่รับน้ำที่ “ปู โฟร์ซีซั่นส์” กำลังไปแสดงบทบาทเรียกความเชื่อมั่นว่า “เอาอยู่” ในการบริหารจัดการน้ำด้วย
เดิมทีทีมงานเขียนบทให้นางเอกคลุกฝุ่นลงพื้นที่สร้างภาพมุ่งมั่นทำงานหนัก ดึงคะแนนเสียงกลับมา หลังบริหาร 6 เดือน ทำประชาชนจนถ้วนหน้า ค่าครองชีพพุ่งปรี๊ดจนปรอทแทบแตก แถมยังมีปมร้อนเรื่องฉาวที่ยังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์มาจนถึงวันนี้ว่า
“เป็นเรื่องผลประโยขน์ทับซ้อน หรือผลประโยขน์ทับท้อง” จากการ ว.5 ชั้น 7 พบนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่โฟร์ซีซั่นส์ในภารกิจลับเฉพาะหรือไม่
ภาพลุยงานตรวจพื้นที่ต้นน้ำยันปลายน้ำก็เลยแป้กไม่หวือหวาฮือฮาอย่างที่วางแผนไว้ เพราะผู้คนมัวแต่ใจจดใจจ่อกับ “พื้นที่รับน้ำ” มากกว่า
ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เรื่องส่วนตัวยังเคลียร์ไม่ตก ก็เกิดเหตุระเบิดกลางกรุงซ้ำขึ้นมาอีก จน “ทัวร์สร้างสุข” กลายเป็น “ทัวร์สุดทุกข์” ไปในบัดดล
และจะยิ่งทุกข์หนักกว่านี้ ถ้า ยิ่งลักษณ์ ยังปล่อยให้งานด้านความมั่นคง “ยิ่งเละ” อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เหตุระเบิดรับว้นวาเลนไทน์ที่มีชาวอิหร่านเป็นผู้ก่อเหตุย่อมมิใช่เรื่องธรรมดา เพราะเกิดหลังจากเหตุระเบิดในจอร์เจียและอินเดียเพียงวันเดียว
แถมตัวละครก็ยังเป็นคนอิหร่านที่ อิสราเอลหมายหัวว่าร่วมมือกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ พุ่งเป้าก่อการร้ายในเมืองไทยและอีกหลายประเทศ โดยมีการประกาศเตือนมาก่อนหน้านี้พร้อมกับระบุถึงงานด้านการข่าวของอิสราเอลว่าต้องระมัดระวังเหตุร้ายถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งเหตุระเบิดที่สุขุมวิท 71 ก็เคลื่อนจากวันที่อิสราเอลประกาศให้ระวังเพียง 2 วันเท่านั้น
ในขณะที่รัฐบาลไทยยังสนุกสนานกับการประโคมข่าวจับนายอาทริส ที่ตำรวจอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้ายกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ แถมเพิ่มบทให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ผบ.ตร.เป็นพระเอกบุกทลายแหล่งผลิตระเบิด ขยายผลใหญ่โตว่าบรรดาปุ๋ยยูเรียที่พบเป็นสารตั้งต้นในการทำว้ตถุระเบิด แต่ผู้ก่อการร้ายไม่มีเจตนาก่อเหตุในไทย เพียงแต่เตรียมจัดส่งวัตถุดิบไปยังประเทศที่สามเท่านั้น
แต่สื่อสวีเดนก็ตีแผ่พิรุธการจับกุมครั้งนี้ว่า อาทริสอาจเป็นเพียงแพะเท่านั้น เพราะเขามีอาชีพเป็นช่างตัดผมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกระบวนการก่อการร้ายทั้งสิ้น
เรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายใดๆ จากตำรวจว่าจับผืดตัวหรือไม่ นอกจากยืนยีนว่าไม่มีการจัดฉาก แต่ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลที่สื่อสวีเดนเสนอ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ใช้ผลงานชิ้นโบว์ดำดังกล่าวไปอ้างกับกว่า 20 ประเทศให้ถอนคำเตือนพลเมืองของตัวเอง จนหลายประเทศหลงลม แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาก็ยังส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานข้อมูลด้านการข่าวเป็นครั้งสุดท้ายกับนายกรัฐมนตรีถึงทำเนียบรัฐบาลเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และในที่สุดก็มีการถอนคำเตือนตามที่ฝ่ายไทยร้องขอ
เพราะได้ร้บคำยืนยันจากผู้นำหญิงของไทยว่า “เอาอยู่-คุมได้”
ผ่านไปไม่ถึง 2 สัปดาห์ กลับเกิดเหตุระเบิดกลางเมืองหลวง แถมเป็นย่านสุขุมวิท ที่ถูกระบุเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยมาตั้งแต่ต้น ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการดูแลรักษาความปลอดภัยเกือบเข้าขั้นล้มละลายในสายตาต่างชาติ
หลังเหตุระเบิดไม่กี่ชั่วโมงอังกฤษนำร่องประกาศเตือนพลเมืองของตัวเองเป็นประเทศแรก และยังกระจายพื้นที่อันตรายครอบคลุมหลายจังหวัดตั้งแต่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุบลราชธานี และอุดรธานี จากนั้นอีก 9 ประเทศก็ทยอยประกาศเตือนพลเมืองของตัวเอง
ให้ระวังไทยที่กลายเป็นดินแดนแห่งการก่อการร้ายไปเสียแล้ว
ในขณะที่กระบวนการสอบสวนยังไม่ทันเริ่มต้น โฆษกรัฐบาลก็ออกมาชี้นำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การก่อวินาศกรรมและการก่อการร้าย ตมติดมาด้วยคำสำทับของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย สอดรับกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯคุมตำรวจที่ออกมาพลิ้วว่าผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่จับได้ 2 รายเป็นเพียงพวกหัวรุนแรงไม่เข้าข่ายผู้ก่อการร้าย
แต่ผลการสอบสวนของ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กลับพบว่า เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ อาจเชื่อมโยงเป็นขบวนการเดียวกับกลุ่มก่อการร้ายที่ก่อเหตุระเบิดโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอลในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และในกรุงทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย เนื่องจากพบว่ามีการใช้แม่เหล็กเหมือนกัน
การให้ข่าวไปคนละทิศละทางเช่นนี้ ยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากขึ้น แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ยังเพลินกับการเล่นบทถนัด ปกปิดความจริงต่อสาธารณะหวังใช้การตลาดมานำความมั่นคง ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง
คนในรัฐบาลกล้าพูดได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการก่อการร้าย ในเมื่อหลักฐานเห็นอยู่ทนโท่ว่าเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่อินเดีย และจอร์เจีย นอกจากนี้ ตามรายงานจากการเข้าค้นบ้านเช่าที่ผู้ก่อการร้ายอาศัยอยู่ยังพบระเบิดซีโฟร์ทั้งหมด 5 ลูก แต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 4 ปอนด์ ตั้งเวลาเอาไว้ 5 วินาที รัศมีทำลายล้าง 40 เมตร และระยะสังหาร 3-5 เมตร ที่สำคัญคือระเบิดแต่ละลูกติดแม่เหล็กเพื่อนำไปใช้แปะกับยานพาหนะ จึงเชื่อได้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุมีเป้าหมายมุ่งสังหารตัวบุคคลเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในอินเดีย และจอร์เจีย
รัฐบาลยังกล้าพูดอีกหรือว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายการก่อการร้าย เป็นเพียงสถานที่จัดหาวัตถุดิบส่งต่อประเทศที่สามเท่านั้น
คนหัวรุนแรงที่มีซีโฟร์อยู่เต็มพิกัดไม่ให้เรียกผู้ก่อการรยแล้วจะรียกว่าอะไร หรือว่าเข้าข่ายตรรกกะเดียวกับที่ “เหลิม” เคยโชว์โง่ไว้กลางสภาว่า “ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”
ใครจะคิดว่ารัฐบาล 15 ล้านเสียงที่คิดว่าจะอยู่แบบชิวๆ ต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยจนเกือบต้องไปพร้อมกระแสน้ำ แถมยังต้องมาเจอกับการก่อการร้ายสากลแบบเต็มๆ หลังจากที่เคยก่อการร้ายทำลายประเทศไทยล้มเผาบ้านเผาเมือง มาถึง 2 ปีซ้อน
คงต้องจับตาว่า “รัฐบาลผู้ก่อการร้ายแดง” จะรับมือกับ “กลุ่มก่อการร้ายสากล” ที่กำลังคุกคามประเทศไทยได้หรือไม่
นับเป็นความโชคร้ายของบ้านเมืองที่มีรัฐบาลก่อการร้ายแดง คิดว่าจะตบตานานาชาติได้ เหมือนที่หลอกต้มคนเสื้อแดง
แต่โชคดีของประเทศไทยที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้แคล้วคลาดจนไม่เกิดเหตุร้ายแรงยากจะควบคุม
ถ้าจำกันได้ ปี 2531 เคยมีความพายามจะก่อการร้ายแต่เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์ไปชนกับรถบรรทุกระเบิดซีโฟร์เสียก่อนเรื่องร้ายๆ ก็เลยไม่เกิดขึ้น ในปี 2553 เกิดเหตุระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่นทำให้ผู้ก่อการร้ายแดงตายาที่ก่อนที่จะนำระเบิดไปทำรายผู้บริสุทธิ์ 14 กุมภาพันธ์ 2555 เกิดเหตุระเบิดที่สุขุมวิท 71 จากความผิดพลาดของกลุ่มผู้ก่อการร้ายทำให้ยังไม่ทันได้ก่อเหตุร้ายแรงสะเทือนประเทศไทย
“พระสยามเทวาธิราช” มีจริง และกำลังปกปีกคุ้มครองประเทศชาติให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง ที่สำคัญคือ กรรมกำลังไล่ล่าคนชั่วให้อยู่ไม่เป็นสุข แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือก็ตาม