รายงานการเมือง
ประเด็นการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ ยังคงสร้างความแตกต่างทางความคิด ลามเป็นความแตกแยกทางสังคมไม่หยุดหย่อน การเสนอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ครั้งนี้ถูกต่อต้านหนัก เพราะผู้เสนอมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่โปร่งใส
คณะนิติราษฎร์มีความเกี่ยวพันกับคนเสื้อแดง รวมถึงพรรคเพื่อไทย เพราะมีบางคนในเครือข่ายเป็นแนวร่วมอย่างชัดเจน แม้วันนี้จะปฏิเสธกันหน้าดำหน้าเขียวอย่างไร ก็ยากที่สังคมจะเชื่ออย่างสนิทใจ อมพระมาพูดยังไงคนก็ไม่เชื่อ
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย พลิกพลิ้ว เปลี่ยนบทแก้เกมด้วยการปรับท่าทีดีดหนีคณะนิติราษฎร์ สั่งขาบู๊ ขาโหดประจำพรรค ผสมโรงเป็นแนวร่วมต่อต้านทันที หลังเห็นกระแสสังคมแทบทุกภาคส่วนไม่เอาด้วย!!
ขณะเดียวกันก็ฉวยจังหวะมะรุมมะตุ้มฝุ่นตลบ เสียบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาแบบจัดหนัก ชุดใหญ่ ทั้งร่างของภาคประชาชน ร่างของพรรคเพื่อไทยแบบเนียนๆ
เหวี่ยงความสนใจไปที่คณะนิติราษฎร์ สลัดแรงเสียดทานไปที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง แล้วแทงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามา
เพราะหากเป็นสถานการณ์ปกติ ยามคลื่นลมสงบแล้ว การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีแรงต่อต้านหนักหน่วงแน่นอน ชั่วโมงนี้จึงเป็นจังหวะเหมาะเจาะที่สุดในการฉวยโอกาสสอดไส้ใส่เครื่องเคียง
กระนั้นก็ดี บางคนบางฝ่ายย่อมจับสัญญาณ “สับขาหลอก” นี้ได้ หากกระแสต่อต้านจากสังคมที่ถาโถมใส่คณะนิติราษฎร์เบาบางลงไป เนื่องเพราะคณะนิติราษฎร์ต้องจำยอมถอยฉาก เมื่อนั้นกระแสต่อต้านจะถูกเทน้ำหนักมาที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทันที
ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องคิดอ่านหาวิธีการลดแรงเสียดทานจากสังคมไว้หลายแนวทาง เบื้องต้นที่ประสาน ดีลงานไว้สำเร็จ คือ การจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” สามารถล็อกตัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาเป็นประธานในพิธี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้มารยาหญิงเข้าไปเบียดแซะจนป๋าต้องอ่อนระทวย เหมือนใครหลายคนที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้
งานนี้เป็นผลงานของ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เข้ามาไม่ทันไรก็ทำผลงานชิ้นโบแดง ร่วมกับกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลัง เป็นตัวประสานเรียนเชิญ พล.อ.เปรม โดย “กิตติรัตน์” ต้องเข้าพบเรียนเชิญด้วยตัวเอง ซึ่งก็หว่านล้อมใช้ความเป็นเด็กเคารพนบนอบผู้ใหญ่ ทั้งนายกฯ และครม. ขอความกรุณาให้ไปเป็นประธานในพิธี
“ป๋าเปรม” จึงใจอ่อนตอบรับอย่างเสียไม่ได้ ครั้นจะไม่ไปเดี๋ยวจะหาว่ามีทิฐิ รังแกเด็ก ผูกใจเจ็บจิตใจคับแคบ
การมาปรากฏตัวงานใหญ่ของ พล.อ.เปรมครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี หลังเป็นเฒ่าวิเศษจำศีลอยู่บ้านสี่เสาเรื่อยมา แต่การออกมาครั้งนี้ประหนึ่งว่า พล.อ.เปรมต้องเดินเข้าถ้ำเสือ เดินเข้าสู่หลุมพรางของฝ่ายตรงข้าม อาจถูกสังคมบางส่วนมองว่าถูกเชือด เดินแต้มพลาด
เพราะไม่ว่าจะมีภาพการจับมืออี๋อ๋อ รักใคร่กันปานใด แต่เนื้อในแล้วยังเต็มไปด้วยความหวั่นระแวง งัดข้อกันไม่รู้จบ ไม่มีทางจะเป็นเนื้อเดียวกันได้ เพราะสิ่งที่แต่ละฝ่ายเคยกระทำต่อกันนั้น มันหนักหนาสาหัสในความรู้สึกของอีกฝ่าย คงยากที่จะญาติดีกันได้ในชาตินี้
อย่างไรก็ดี การจัดงานดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จในการสร้างภาพความสมานฉันท์ของรัฐบาล ดูเหมือนว่าทุกคนทุกฝ่ายหันมาจูบปากเดินหน้าทำงานได้อย่างชะงัดนัก กระแสสังคมบางส่วนที่ยังวนเวียนจมปลักกับความขัดแย้ง อาจมองภาพที่เกิดขึ้นเปลี่ยนไป ลดทิฐิ อคติไปได้บางส่วน พร้อมเปิดใจรับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่จะผ่านเข้ามา ด้วยหวังว่ามันคงดีกว่าที่เป็นอยู่??
การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เคยออกไปผสมโรงคัดค้านมาตลอด ไม่เปิดใจยอมรับบางคนบางฝ่าย ก็อาจเปลี่ยนความคิดไป เมื่อเห็นหลักใหญ่ แกนนำของประเทศยอมลดราวาศอกไปแล้ว งาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ถือเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกมายกฝูง..
เพราะไม่เพียงเท่านั้น ภาพความขัดแย้งที่ดูจะลดโทนลง ยังทำให้การทำงานต่อเนื่องจากนี้ไปของรัฐบาลง่ายขึ้นอีกเป็นกอง จะหยิบจับอะไรก็สะดวก ไม่ต้องถูกจับผิดติดตามเหมือนเช่นเก่าก่อน...
แต่เนื้องานในตัวของรัฐบาลเองก็ต้องสะท้อนให้ประชาชน ชาวบ้านร้านตลาดเห็นด้วยว่าเป็นมรรคเป็นผล เป็นรูปธรรม คนไทยได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการสร้างภาพตบตาประชาชนว่าลงมือทำแล้วไปวันๆ แต่ทว่าข้างในกลับกลวงโบ๋สิ้นประดาดี
เช่นยุทธศาสตร์การแก้ไข ฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยที่ผ่านมา มีแต่เสียงครหานินทาว่ารัฐบาลได้ลงมือทำไปแค่ไหน ประชาชนได้รับการเยียวยาแล้วจริงหรือ เพราะนอกจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดแล้วชุดเล่า ชื่อยาวเหยียด ชื่อย่อสารพัดสารพันจำกันแทบไม่หวาดไหว แต่กลับไม่เห็นอะไรที่พอจะหยิบจับมาป่าวประกาศ โพนทะนาเป็นผลงานได้เป็นชิ้นเป็นอัน
ซ้ำร้ายกรรมการบางคน ในคณะทำงานบางชุดยังออกมาจวกยับสับแหลกว่าการทำงานไม่มีความคืบหน้า มีแต่แผนงานสะเปะสะปะ ไม่มีการรับฟังข้อเสนอเพื่อนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง!!
ฉะนั้นจึงมีเสียงเข้มๆ จากนายกรัฐมนตรีถึง “ทัวร์นกแก้ว” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-17 กุมภาพันธ์นี้ ว่า รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ต้องทำงานลงพื้นที่ สร้างความมั่นใจ สร้างผลสัมฤทธิ์ให้ประชาชนเห็นอย่างแท้จริง ขีดเส้นพร้อมขู่ลงแส้ใครไม่ทำตามต้องโดนดีแน่!!
ตารางการตะลอนทัวร์ครั้งนี้จึงมีหมายบอกแจ้งละเอียดยิบชัดเจน เป้าหมายเพื่อสร้างภาพ สร้างความหวังให้ได้การยอมรับ
ยิ่งลักษณ์เดินตามรอยเท้าพี่ชาย เดิมเกมการตลาดที่เคยทำมาแล้ว
อย่างไรก็ดี ก้าวย่างของรัฐบาลจากนี้ไปสังคมกำลังจับจ้องและคิดอ่านลงคะแนนให้ว่าสมควรอยู่ยาว หรือสมควรจะไปในเร็ววัน การทำงานนับเป็นตัวแปรสำคัญในการประเมินผล
ขณะเดียวกัน เรื่องของความจริงใจ ที่จะทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงก็เป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะที่ผ่านมาหลายครั้งหลายหนถูกตั้งข้อสังเกตว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนเป็นเกมการเมือง ทำไปเพื่อพวกพ้อง และเพื่อจุดมุ่งหมายสำคัญที่ทุกคนทุกฝ่ายตั้งข้อสงสัยคือการนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษคดีอาญาที่หนีคุกอยู่ต่างประเทศกลับบ้าน
เช่นการประชุม ครม.ครั้งหนึ่งที่ทุกคนจำได้ดี “ยิ่งลักษณ์” ไม่เข้าร่วมประชุมแบบมีเงื่อนงำ ปล่อยให้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ทำหน้าที่แทน พร้อมสอดไส้แบบปกปิด เสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านดื้อๆ จนสังคมไม่พอใจต่อการหมกเม็ด ซ่อนเร้นด้วยเล่ห์เพทุบาย
รัฐบาลได้รับรู้เป็นบทเรียน ที่ทำให้กระแสซึ่งกำลังติดลมบนตีกลับมาแล้ว ดังนั้นคงไม่กล้าทำอะไรโฉ่งฉ่างฉาวโฉ่เช่นครานั้นอีกแน่ หนนี้จะไป “ทัวร์นกแก้ว” ตลอดสัปดาห์ ซึ่งคาบเกี่ยวกับการประชุมครม. ก็สั่งเลื่อนประชุมครม.เป็นเช้าของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ก่อนลงพื้นที่ ให้เบ็ดเสร็จเรียบร้อยไปก่อน สร้างความสบายใจให้สังคมว่าจะไม่มีรายการหมกเม็ดซ่อนเหลี่ยมร้ายเหมือนเคยมา พยายามประคับประคองกระแสที่กำลังไปได้ดี ให้อยู่ยาวต่อเนื่องไป
ก็ต้องติดตามเฝ้าดู และคอยหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ทำอะไรที่ห่ามห้าวท้ากระแสสังคมอีก เพราะอดีตเครือข่ายของรัฐบาลชุดนี้ก็เคยมีบทเรียนที่ควรจดจำแล้วว่า ประเทศไทยไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลของใคร
วันไหนที่สังคมเพ่งเห็นพฤติกรรมที่โอหัง ไม่ฟังใคร วันนั้นรัฐบาลต้องล้มไป และคนที่อยู่ไกลอาจไม่ได้กลับประเทศ..