ผ่าประเด็นร้อน
เป็นอันว่าคณะ “นิติราษฎร์”ได้กลายสภาพเป็นคณะกรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไข มาตรา 112 (ครก.112) หรือถ้าจะเรียกว่า “หัวครก” ก็น่าจะได้ความหมายดีเหมือนกัน โดยต่อไปนี้พวกเขาบอกว่าคณะดังกล่าว จะออกเดินสายสัญจรไปตามต่างจังหวัด อ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ (ที่คนพวกนี้โจมตีว่ามาจากเผด็จการนั่นแหละ) ที่ว่าด้วยเรื่องการรวบรวมรายชื่อของประชาชนเพื่อเสนอกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ยัง “หัวหมอ” สำทับมาด้วยว่าหากใครขัดขวางถือว่าทำผิดกฎหมายและขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่เคยปฏิบัติกันมา พร้อมกับย้ำว่า พวกเขายึดแนวทางสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และหากเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย อันเนื่องจากได้สร้างความไม่พอใจจากสังคมก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต้องรักษาความสงบและป้องกันเหตุร้าย
เป็นอันว่าคนพวกนี้ก็มีการปรับรูปแบบ เปลี่ยนคนรับไม้กันต่อเป็นช่วงๆ ซึ่งหากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าเป็นการเคลื่อนไหวคู่ขนาน ควบคู่ไปกับการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญของคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ที่กำลังจะเริ่มดีเดย์ทั้งในและนอกสภาพร้อมๆกัน
แม้ว่าจะมีการแถลงของคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มดังกล่าว แต่ก็ไม่อยากจะไปเอ่ยชื่อสร้างราคาให้โดยไม่จำเป็น อีกทั้งมันก็ “โนเนม” จริงๆ ดูหน้าตาแล้วก็คงพ้นจากสภาพนักศึกษามาไม่กี่ปี อีกทั้งในยุคที่กำลังร่ำเรียนอยู่นั้นก็คงจะไม่เคยได้เห็นพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังถิ่นทุรกันดารอันตรายพร้อมด้วยแผนที่เยี่ยมเยียนราษฎร แต่คนพวกนี้อาจยังไม่หย่านม ไร้เดียงสาก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี มาถึงยุคปัจจุบันภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้เครือข่ายระบอบทักษิณ มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แม้ว่าปากย้ำอยู่ตลอดเวลามีความ “จงรักภักดี” ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลายเป็นว่า มีขบวนการจาบจ้วง ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ และโจ่งแจ้งเหิมเกริมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะเดียวกันถ้าสังเกตท่าทีของฝ่ายตำรวจที่ถือว่ามีหน้าที่และมีอำนาจที่ต้องจัดการตามกฎหมายกับคนพวกนี้กลับไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
ไม่ว่าคำพูดของรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มักยืนยันว่าจะจัดการกับพวกล้มเจ้าอย่างเด็ดขาด อ้างว่ามีสถิติการจับกุมมากมายนับไม่ถ้วน หรือแม้แต่มีท่าทีขึงขังกับกลุ่มนิติราษฎร์ที่กำลังใช้เล่ห์กลทางกฎหมายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่แล้วก็เงียบหาย เหมือนกับปล่อยไปตามสายลม ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันกับ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่นอกจากดูเหมือนว่าเฉยเมย ไม่ค่อยเข้มงวดใส่ใจเลยแม้แต่น้อย มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เคยออกมาพูดว่าได้ให้ตำรวจสันติบาล “จับตา” ดูอยู่เท่านั้น
ล่าสุด วานนี้ (6 กุมภาพันธ์) นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังไฟเขียวให้กลุ่ม นิติราษฎร์เคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ หากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ซึ่งแม้ว่าเป็นคำพูดแบบหลักการ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพรวมและความเชื่อมโยงถึงกัน มันก็ไม่ต่างจากการ รักษาน้ำใจ สนับสนุนกันกลายๆ นั่นแหละ
ลักษณะท่าทางเหมือนกับว่าพูดไปตามน้ำ เมื่อถูกสื่อตั้งคำถามก็ต้องตอบแบบนี้ แต่ไม่เคยแสดงท่าทางขึงขัง หรือทำหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานให้สมกับความคาดหวังของสังคมเลยแม้แต่น้อย ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวไม่ใช่มีแค่เฉพาะคนทั่วไปที่เห็นตรงกัน เพราะแม้แต่ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อนเมื่อถูกสื่อถามเรื่องเดียวกัน ถ้าพิจารณาตามอารมณ์ของผู้บัญชาการทหารบกมีอารมณ์โกรธ พร้อมกับโบ้ยไปที่ตำรวจทำนองว่ามัวทำอะไรกันอยู่ ประมาณนั้น ซึ่งต่อมาก็ถึงได้เห็นอาการขยับตัวบ้างจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ไม่ต่างจากลักษณะ “เสียไม่ได้” มากกว่า
วกมาที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ได้แปรรูปเป็น ครก.112 เตรียมตระเวนเดินสายตั้งเวทีสัญจรไปตามต่างจังหวัด มีการกำหนดโปรแกรมเอาไว้เรียบร้อย ซึ่งก็ต้องเดาได้อยู่แล้วว่าเป็นพื้นที่ในภาคอีสาน เหนือและภาคกลางบางจังหวัด ซึ่งก็รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และที่ผ่านมากลุ่มคนที่ไปให้กำลังใจจนเต็มห้องประชุมเล็กมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนเสื้อแดงแทบทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาที่เป็นกำหนดการเคลื่อนไหวดังกล่าวล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับการเคลื่อนขบวนของเครือข่ายทักษิณพอดี ไม่ว่าจะเป็นพวกคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยที่กำลังจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาพอดี
สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่าจับตาก็คือ หากมีการเดินสายออกต่างจังหวัด โอกาสที่จะยั่วยุและสร้างความไม่พอใจจากสังคมที่มองว่าคนพวกนี้มีเจตนาทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้มีแนวโน้มเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากลักษณะพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ว่านั้นมันก็มองได้แบบนั้นจริงๆ และถึงแม้ว่าการเดินสายของพวกนี้จะไม่เกิดเหตุวุ่นวาย แต่อีกด้านหนึ่งอย่างน้อยก็เป็นเจตนาสร้างแรงกระเพื่อม เพื่อสั่นคลอนสถาบันฯ ไปเรื่อยๆ เพราะนอกเหนือจากคำพูดที่ใช้แง่มุมทางกฎหมายหลบหลีกมาอย่างดีแล้ว ด้านล่างเวทีก็จะมีการเคลื่อนไหวแอบแฝงตามมา ดังนั้นถ้าให้สรุปก็ต้องบอกว่านี่คือแผนรุกขั้นต่อไปที่กระทำแบบคู่ขนานกันไป
หากพิจารณากันแบบรู้ทันมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร และไม่ต้องแปลกใจว่าการเคลื่อนไหวของ “แก๊ง” นี้เกิดขึ้นเพราะมีการ “ขยิบตา” จากรัฐบาลแน่นอน!!