รมช.พาณิชย์เงา อัดโครงการรับจำนำข้าวเหลวทุกมิติ แฉรัฐบาลเสียหน้าเร่งตั้งโต๊ะจ้างสวมสิทธิ์คึกคัก หลังเกษตรกรเข้าร่วมโครงการต่ำกว่าเป้า ฉะดีแต่บังคับคนไทยกินข้าวแพงขายข้าวถูก แต่ยอดขายส่งออกติดลบร้อยละ 55 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
วันนี้ (25 ม.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รมช.พาณิชย์เงา กล่าวถึงกรณีโครงการจำนำราคาข้าว ว่า ที่ประชุมสรุปว่าโครงการดังกล่าวล้มเหลวโดยสิ้นเชิงทุกมิติ นับจากที่รัฐบาลประกาศโครงการรับจำนำราคาข้าว 1.5 หมื่นบาทต่อตัน สำหรับข้าวขาว และ 2 หมื่นบาทต่อตัน สำหรับข้าวหอมมะลิ โดยวางเป้า 25 ล้านตัน แต่ปรากฏว่าปริมาณข้าวตั้งแต่วันเริ่มโครงการจากยอดเกษตรกรที่ต้องมามาลงทะเบียน 3.3 ล้านครัวเรือน แต่ปรากฏมาเข้าโครงการเพียง 1.03 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 30 และยังได้เงินไม่เต็มตามที่รัฐบาลตั้งไว้ และจำนวนข้าวที่ได้เพียง 5.6 ล้านตัน ถือว่าต่ำมาก ปัญหาดังกล่าวกดดันให้รัฐบาลต้องเร่งเช็คสต๊อกข้าวที่หายไป ทำให้ตนได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกร 3 จังหวัด คือ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และกำแพงเพชร ว่ามีการสวมสิทธิ์กันอย่างคึกคัก เพราะรัฐบาลขายหน้าต้องการให้มีข้าวเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก ซึ่งตนขอให้เกษตรกรช่วยถ่ายคลิปหรือบันทึกเสียงเป็นหลักฐานแต่เกษตรกรไม่กล้าเพราะกลัวเกิดปัญหา
นพ.วรงค์กล่าวว่า ยิ่งขณะนี้เกษตรกรไม่มีข้าวอยู่ในมือเพราะข้าวส่วนใหญ่ไปอยู่กับนายทุนแล้ว ยิ่งทำให้มีการตั้งโต๊ะสวมสิทธิ์กันอย่างคึกคัก เท่าที่เช็กตัวเลขมีการเสนอให้ผู้ที่มาสวมสิทธิ์ตันละ 500-1,000 บาทแล้วแต่พื้นที่ ยิ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวที่รัฐบาลต้องการให้เกษตรกรได้เงินตันละ 1.5-2 หมื่นบาทแทนที่เงินจะอยู่กับชาวนาแต่ไปอยู่กับนายทุนจึงสะท้อนว่าโครงการนี้ทำขึ้นมาเพิ่อนายทุน
“รัฐบาลนี้เก่งแต่บังคับให้คนในประเทศซื้อข้าวแพงแต่ขายถูก แต่ล้มเหลวในตลาดส่งออก ซึ่งยอดการส่งออกในเดือนมกราคม ของปีนี้เทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว ยอดติดลบร้อยละ 55 ซึ่งเดิมรัฐบาลคุยว่าตั้งเป้าให้มากกว่าเดิม โดยต้องขายให้ได้ในราคา 800 เหรียญ ตอนนี้ตกลงเหลือ 529 เหรียญ ถือว่าล้มเหลวทั้งปริมาณส่งออกและราคาส่งออก ซึ่งพรรคจะมีการติดตามประเด็นนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลอยู่เรื่อยๆ”
วันนี้ (25 ม.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รมช.พาณิชย์เงา กล่าวถึงกรณีโครงการจำนำราคาข้าว ว่า ที่ประชุมสรุปว่าโครงการดังกล่าวล้มเหลวโดยสิ้นเชิงทุกมิติ นับจากที่รัฐบาลประกาศโครงการรับจำนำราคาข้าว 1.5 หมื่นบาทต่อตัน สำหรับข้าวขาว และ 2 หมื่นบาทต่อตัน สำหรับข้าวหอมมะลิ โดยวางเป้า 25 ล้านตัน แต่ปรากฏว่าปริมาณข้าวตั้งแต่วันเริ่มโครงการจากยอดเกษตรกรที่ต้องมามาลงทะเบียน 3.3 ล้านครัวเรือน แต่ปรากฏมาเข้าโครงการเพียง 1.03 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 30 และยังได้เงินไม่เต็มตามที่รัฐบาลตั้งไว้ และจำนวนข้าวที่ได้เพียง 5.6 ล้านตัน ถือว่าต่ำมาก ปัญหาดังกล่าวกดดันให้รัฐบาลต้องเร่งเช็คสต๊อกข้าวที่หายไป ทำให้ตนได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกร 3 จังหวัด คือ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และกำแพงเพชร ว่ามีการสวมสิทธิ์กันอย่างคึกคัก เพราะรัฐบาลขายหน้าต้องการให้มีข้าวเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก ซึ่งตนขอให้เกษตรกรช่วยถ่ายคลิปหรือบันทึกเสียงเป็นหลักฐานแต่เกษตรกรไม่กล้าเพราะกลัวเกิดปัญหา
นพ.วรงค์กล่าวว่า ยิ่งขณะนี้เกษตรกรไม่มีข้าวอยู่ในมือเพราะข้าวส่วนใหญ่ไปอยู่กับนายทุนแล้ว ยิ่งทำให้มีการตั้งโต๊ะสวมสิทธิ์กันอย่างคึกคัก เท่าที่เช็กตัวเลขมีการเสนอให้ผู้ที่มาสวมสิทธิ์ตันละ 500-1,000 บาทแล้วแต่พื้นที่ ยิ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวที่รัฐบาลต้องการให้เกษตรกรได้เงินตันละ 1.5-2 หมื่นบาทแทนที่เงินจะอยู่กับชาวนาแต่ไปอยู่กับนายทุนจึงสะท้อนว่าโครงการนี้ทำขึ้นมาเพิ่อนายทุน
“รัฐบาลนี้เก่งแต่บังคับให้คนในประเทศซื้อข้าวแพงแต่ขายถูก แต่ล้มเหลวในตลาดส่งออก ซึ่งยอดการส่งออกในเดือนมกราคม ของปีนี้เทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว ยอดติดลบร้อยละ 55 ซึ่งเดิมรัฐบาลคุยว่าตั้งเป้าให้มากกว่าเดิม โดยต้องขายให้ได้ในราคา 800 เหรียญ ตอนนี้ตกลงเหลือ 529 เหรียญ ถือว่าล้มเหลวทั้งปริมาณส่งออกและราคาส่งออก ซึ่งพรรคจะมีการติดตามประเด็นนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลอยู่เรื่อยๆ”
