ตามสเต็ปทางการเขมรไล่ที่ชาวบ้านสวายจรุม ดันขึ้นไปปลูกบ้านรอบวัดแก้วฯจนแน่น ตัดถนนเส้นใหม่ขึ้นช่องตาเฒ่าหวังใช้ขนยุทโธปกรณ์หากเผชิญหน้ากับทหารไทย ระบุ ทภ.2 หวังใช้ความขัดแย้งที่ภูมะเขือเป็นชนวนจัดการขั้นเด็ดขาด แต่ติดขัด “ปูแดง” ตามจิกให้เร่งปรับความเข้าใจกับเขมร อย่าให้มีการปะทะ
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. เวลา 20:12 น. เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังการรุกเข้ารื้อทำลายหมู่บ้านสวายจรุม ใน ต.กันต๊วด อ.จอมกะสานต์ จ.พระวิหาร หมู่บ้านแห่งสุดท้ายในเขตพื้นที่กันชนของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ห่างจากตัวปราสาทประมาณ ๑๐ กม. ของคณะทำงานระดับชาติพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา เมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่า และดำเนินการส่งมอบพื้นที่เกือบ ๓ แสนไร่ ให้กับองค์การพระวิหารแห่งชาติ เมื่อ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ วานนี้ (๑๗ มกราคม ๒๕๕๕) แหล่งข่าวในพื้นที่พระวิหารของฟิฟทีนมูฟได้สำรวจพื้นที่เขาพระวิหาร ทั้งในฝั่งกัมพูชาและบนเขาพระวิหารอันเป็นที่ตั้งของตัวปราสาท พบว่าหมู่บ้านสวายจรุมซึ่งเคยเป็นชุมชนใหญ่ มีชาวบ้านอยู่อาศัยร่วม ๓๐๐ ครอบครัว มีวัดและโรงเรียน ปัจจุบันแทบไม่มีสิ่งปลูกสร้างหลงเหลือ คณะทำงานระดับชาติฯ ของกัมพูชาใช้เครื่องจักรรื้อทำลายจนราบคาบ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับพัฒนาทั้งในด้านอนุรักษ์และการท่องเที่ยว ตามแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ที่ยังคาราคาซังอยู่ที่คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก
อดีตที่ตั้งของหมู่บ้านสวายจรุม มองจากผามออีแดง ปัจจุบันเหลือเป็นเพียงพื้นที่โล่งว่าง หลังคณะทำงานระดับชาติพื้นที่ปราสาทพระวิหารได้เข้ารื้อทำลายเมื่อต้นปี และส่งมอบพื้นที่ให้กับองค์การพระวิหาร ถนนตรงมุมภาพซ้ายตัดไปยังทางขึ้นช่องบันไดหัก (ภาพถ่ายล่าสุดเมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔)
จากการสำรวจล่าสุด พื้นที่โดยรอบวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่กัมพูชาปลูกสร้างละเมิดเขตไทย มีการตั้งชุมชนชาวกัมพูชาอยู่อย่างหนาแน่น มีบ้านเรือนปลูกติดกันตลอดแนวถนน นับประเมินด้วยสายตาไม่น้อยกว่าร้อยหลังคาเรือน แหล่งข่าวระบุว่าชาวกัมพูชารุกเข้ามาปลูกบ้านเรือนมากขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และหนาแน่นยิ่งขึ้นหลังการไล่ที่บ้านสวายจรุม โดยชาวสวายจรุมบางส่วนที่ไม่ยอมอพยพไปอยู่ในหมู่บ้านธรรมชาติสมเด็จเดโช ที่รัฐบาลจัดสรรที่ดินไว้ให้ ได้พากันขึ้นมาตั้งบ้านเรือนบริเวณรอบวัดแก้วฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของทหารกัมพูชาที่ประจำการอยู่บนปราสาท
บ้านเรือนชาวกัมพูชาที่ปลูกเรียงรายรอบวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ช่วงปีใหม่ ปัจจุบันมีมากกว่า ๑๐๐ หลัง (ภาพถ่ายล่าสุดเมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔)
การเข้าตั้งบ้านเรือนของชาวกัมพูชาบริเวณรอบวัดแก้วฯ ในเขต ๔.๖ ตร.กม. ของไทย เป็นการละเมิดข้อตกลงที่มีต่อกันระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ตามปรากฎในบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทาง บก ปี ๒๕๔๓ หรือ MOU 43 ฉบับที่มิได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ รัฐบาลไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศมิได้ให้ความใส่ใจและทำการประท้วงต่อการกระทำของประเทศกัมพูชาและชาวกัมพูชา ดังกล่าว
นอกจากการเร่งพัฒนาพื้นที่ในแผนบริหารจัดการโดยไล่ที่ชาวสวายจรุมแล้ว กัมพูชากำลังเร่งตัดถนนเส้นใหม่มุ่งมายังช่องตาเฒ่า ทำหน้าที่เป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำหรับการลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์หากเกิดเหตุเผชิญหน้าทางทหารกับไทย นอกจากนี้ ถนนเส้นดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักเที่ยวจากฝั่งไทย หากการเจรจาเปิดด่านแห่งใหม่ที่ช่องตาเฒ่าสำเร็จ ซึ่งจะถูกใช้แทนที่ประตูห้วยตานีที่ถูกฝ่ายกัมพูชาปิดตาย ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากฝั่งไทยขึ้นชมปราสาทพระวิหาร
การเร่งพัฒนาพื้นที่ของกัมพูชาในเขตกันชนของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร โดยกัมพูชากำลังเร่งตัดถนนหลายสาย (ภาพซ้าย) ถนนคอนกรีตทางขึ้นช่องบันไดหัก (ภาพถ่ายล่าสุดเมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔)
หลังความตึงเครียดที่ภูมะเขือเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม จากการที่ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจและขอให้ไทยนำพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานที่พลาญยาวและภูมะเขือออกจากพื้นที่ จนความตึงเครียดขยายไปตลอดแนวชายแดนเขาพระวิหาร จากช่องซำแตทางตะวันออกของปราสาทพระวิหารใกล้กับเขาสัตตะโสม จนถึงภูมะเขือที่อยู่ทางตะวันตกของปราสาท ล่าสุดพบว่าฝ่ายกัมพูชามีการวางกำลังอย่างหนาแน่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่บนตัวปราสาทมีการกำลังทหารจำนวนมาก เคลื่อนไหวคึกคักและคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของทหารฝั่งไทยตลอดเวลา ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตก มีประมาณร้อยคนต่อวัน เที่ยวชมพื้นที่ปะปนกับทหารกัมพูชา ขณะสถานการณ์ที่ภูมะเขือยังคงความตึงเครียดต่อเนื่อง แม้มีการเจรจาในหลายระดับเพื่อคลี่คลายไม่ให้เกิดการปะทะ
แหล่งข่าวหลายแหล่งของฟิฟทีนมูฟให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า ฝ่ายทหารของไทยต้องการจัดการปัญหาพิพาทบนพื้นที่เขาพระวิหารให้เบ็ดเสร็จและราบคาบ โดยเห็นว่าความขัดแย้งที่ภูมะเขือจะเป็นชนวนหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การจัดการขั้นเบ็ดเสร็จได้ เนื่องจากพร้อมทั้งด้านกำลัง อาวุธยุทโปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องเครื่องมือ รอเพียงปัจจัยของเงื่อนเวลาและโอกาส แต่ความพยายามของฝ่ายทหารไม่ประสบผลเนื่องด้วยสองสาเหตุสำคัญ ประการหนึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ต้องการเล่นด้วย เพราะทราบดีว่าหากมีปะทะอีกครั้งผลจะต่างจากคราวเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ อย่างสิ้นเชิง และการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร ที่มี “ปูโง่ตามสั่ง” นั่งหัวโต๊ะย่อมเป็นทางสะดวกและเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่า ประการที่สอง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ ๒ ซึ่งดูแลพื้นที่เขาพระวิหารโดยตรง ถูกล้วงจิกและสั่งการโดยตรงจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของรัฐไทยใหม่ กระทั่งกระดิกตัวดำเนินการใดนอกเส้นทางของรัฐบาลไม่ได้
พิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปที่พลาญยาว ทางตะวันตกของภูมะเขือ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕
กรณีความตึงเครียดที่ภูมะเขือครั้งล่าสุด มีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โทรศัพท์ตรงถึงแม่ทัพภาคที่ ๒ สั่งการให้เร่งปรับความเข้าใจกับกัมพูชา อย่าให้มีการปะทะและให้เปิดผามออีแดงให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น เป็นความพยายามรักษาสัมพันธ์อันดีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลฮุน เซน เพื่อผลประโยชน์ใหญ่ของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญของพรรค ในการหาประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเลในพื้นที่ซึ่งกัมพูชาอ้างสิทธิ์รุกล้ำ แหล่งข่าวสายความมั่นคงให้ข้อมูลกับฟิฟทีนมูฟด้วยว่า ระหว่างพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปที่พลาญยาว เมื่อวันที่ ๙ มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ โทรศัพท์ตรงถึงแม่ทัพภาคที่ ๒ กำชับสั่งการบางอย่างที่ฝ่ายหลังได้แต่ “ครับ ครับ ครับ” และพึมพำผ่านสายลมบนเนินสูงที่ชายแดนหลังวางสายว่า..มันเอาเบอร์กูมาจากไหนวะ!?
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. เวลา 20:12 น. เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังการรุกเข้ารื้อทำลายหมู่บ้านสวายจรุม ใน ต.กันต๊วด อ.จอมกะสานต์ จ.พระวิหาร หมู่บ้านแห่งสุดท้ายในเขตพื้นที่กันชนของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ห่างจากตัวปราสาทประมาณ ๑๐ กม. ของคณะทำงานระดับชาติพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา เมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่า และดำเนินการส่งมอบพื้นที่เกือบ ๓ แสนไร่ ให้กับองค์การพระวิหารแห่งชาติ เมื่อ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ วานนี้ (๑๗ มกราคม ๒๕๕๕) แหล่งข่าวในพื้นที่พระวิหารของฟิฟทีนมูฟได้สำรวจพื้นที่เขาพระวิหาร ทั้งในฝั่งกัมพูชาและบนเขาพระวิหารอันเป็นที่ตั้งของตัวปราสาท พบว่าหมู่บ้านสวายจรุมซึ่งเคยเป็นชุมชนใหญ่ มีชาวบ้านอยู่อาศัยร่วม ๓๐๐ ครอบครัว มีวัดและโรงเรียน ปัจจุบันแทบไม่มีสิ่งปลูกสร้างหลงเหลือ คณะทำงานระดับชาติฯ ของกัมพูชาใช้เครื่องจักรรื้อทำลายจนราบคาบ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับพัฒนาทั้งในด้านอนุรักษ์และการท่องเที่ยว ตามแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ที่ยังคาราคาซังอยู่ที่คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก
อดีตที่ตั้งของหมู่บ้านสวายจรุม มองจากผามออีแดง ปัจจุบันเหลือเป็นเพียงพื้นที่โล่งว่าง หลังคณะทำงานระดับชาติพื้นที่ปราสาทพระวิหารได้เข้ารื้อทำลายเมื่อต้นปี และส่งมอบพื้นที่ให้กับองค์การพระวิหาร ถนนตรงมุมภาพซ้ายตัดไปยังทางขึ้นช่องบันไดหัก (ภาพถ่ายล่าสุดเมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔)
จากการสำรวจล่าสุด พื้นที่โดยรอบวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่กัมพูชาปลูกสร้างละเมิดเขตไทย มีการตั้งชุมชนชาวกัมพูชาอยู่อย่างหนาแน่น มีบ้านเรือนปลูกติดกันตลอดแนวถนน นับประเมินด้วยสายตาไม่น้อยกว่าร้อยหลังคาเรือน แหล่งข่าวระบุว่าชาวกัมพูชารุกเข้ามาปลูกบ้านเรือนมากขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และหนาแน่นยิ่งขึ้นหลังการไล่ที่บ้านสวายจรุม โดยชาวสวายจรุมบางส่วนที่ไม่ยอมอพยพไปอยู่ในหมู่บ้านธรรมชาติสมเด็จเดโช ที่รัฐบาลจัดสรรที่ดินไว้ให้ ได้พากันขึ้นมาตั้งบ้านเรือนบริเวณรอบวัดแก้วฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของทหารกัมพูชาที่ประจำการอยู่บนปราสาท
บ้านเรือนชาวกัมพูชาที่ปลูกเรียงรายรอบวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ช่วงปีใหม่ ปัจจุบันมีมากกว่า ๑๐๐ หลัง (ภาพถ่ายล่าสุดเมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔)
การเข้าตั้งบ้านเรือนของชาวกัมพูชาบริเวณรอบวัดแก้วฯ ในเขต ๔.๖ ตร.กม. ของไทย เป็นการละเมิดข้อตกลงที่มีต่อกันระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ตามปรากฎในบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทาง บก ปี ๒๕๔๓ หรือ MOU 43 ฉบับที่มิได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ รัฐบาลไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศมิได้ให้ความใส่ใจและทำการประท้วงต่อการกระทำของประเทศกัมพูชาและชาวกัมพูชา ดังกล่าว
นอกจากการเร่งพัฒนาพื้นที่ในแผนบริหารจัดการโดยไล่ที่ชาวสวายจรุมแล้ว กัมพูชากำลังเร่งตัดถนนเส้นใหม่มุ่งมายังช่องตาเฒ่า ทำหน้าที่เป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำหรับการลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์หากเกิดเหตุเผชิญหน้าทางทหารกับไทย นอกจากนี้ ถนนเส้นดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักเที่ยวจากฝั่งไทย หากการเจรจาเปิดด่านแห่งใหม่ที่ช่องตาเฒ่าสำเร็จ ซึ่งจะถูกใช้แทนที่ประตูห้วยตานีที่ถูกฝ่ายกัมพูชาปิดตาย ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากฝั่งไทยขึ้นชมปราสาทพระวิหาร
การเร่งพัฒนาพื้นที่ของกัมพูชาในเขตกันชนของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร โดยกัมพูชากำลังเร่งตัดถนนหลายสาย (ภาพซ้าย) ถนนคอนกรีตทางขึ้นช่องบันไดหัก (ภาพถ่ายล่าสุดเมื่อ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔)
หลังความตึงเครียดที่ภูมะเขือเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม จากการที่ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจและขอให้ไทยนำพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานที่พลาญยาวและภูมะเขือออกจากพื้นที่ จนความตึงเครียดขยายไปตลอดแนวชายแดนเขาพระวิหาร จากช่องซำแตทางตะวันออกของปราสาทพระวิหารใกล้กับเขาสัตตะโสม จนถึงภูมะเขือที่อยู่ทางตะวันตกของปราสาท ล่าสุดพบว่าฝ่ายกัมพูชามีการวางกำลังอย่างหนาแน่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่บนตัวปราสาทมีการกำลังทหารจำนวนมาก เคลื่อนไหวคึกคักและคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของทหารฝั่งไทยตลอดเวลา ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตก มีประมาณร้อยคนต่อวัน เที่ยวชมพื้นที่ปะปนกับทหารกัมพูชา ขณะสถานการณ์ที่ภูมะเขือยังคงความตึงเครียดต่อเนื่อง แม้มีการเจรจาในหลายระดับเพื่อคลี่คลายไม่ให้เกิดการปะทะ
แหล่งข่าวหลายแหล่งของฟิฟทีนมูฟให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า ฝ่ายทหารของไทยต้องการจัดการปัญหาพิพาทบนพื้นที่เขาพระวิหารให้เบ็ดเสร็จและราบคาบ โดยเห็นว่าความขัดแย้งที่ภูมะเขือจะเป็นชนวนหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การจัดการขั้นเบ็ดเสร็จได้ เนื่องจากพร้อมทั้งด้านกำลัง อาวุธยุทโปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องเครื่องมือ รอเพียงปัจจัยของเงื่อนเวลาและโอกาส แต่ความพยายามของฝ่ายทหารไม่ประสบผลเนื่องด้วยสองสาเหตุสำคัญ ประการหนึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ต้องการเล่นด้วย เพราะทราบดีว่าหากมีปะทะอีกครั้งผลจะต่างจากคราวเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ อย่างสิ้นเชิง และการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร ที่มี “ปูโง่ตามสั่ง” นั่งหัวโต๊ะย่อมเป็นทางสะดวกและเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากกว่า ประการที่สอง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ ๒ ซึ่งดูแลพื้นที่เขาพระวิหารโดยตรง ถูกล้วงจิกและสั่งการโดยตรงจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของรัฐไทยใหม่ กระทั่งกระดิกตัวดำเนินการใดนอกเส้นทางของรัฐบาลไม่ได้
พิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปที่พลาญยาว ทางตะวันตกของภูมะเขือ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕
กรณีความตึงเครียดที่ภูมะเขือครั้งล่าสุด มีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โทรศัพท์ตรงถึงแม่ทัพภาคที่ ๒ สั่งการให้เร่งปรับความเข้าใจกับกัมพูชา อย่าให้มีการปะทะและให้เปิดผามออีแดงให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น เป็นความพยายามรักษาสัมพันธ์อันดีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลฮุน เซน เพื่อผลประโยชน์ใหญ่ของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญของพรรค ในการหาประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเลในพื้นที่ซึ่งกัมพูชาอ้างสิทธิ์รุกล้ำ แหล่งข่าวสายความมั่นคงให้ข้อมูลกับฟิฟทีนมูฟด้วยว่า ระหว่างพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปที่พลาญยาว เมื่อวันที่ ๙ มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ โทรศัพท์ตรงถึงแม่ทัพภาคที่ ๒ กำชับสั่งการบางอย่างที่ฝ่ายหลังได้แต่ “ครับ ครับ ครับ” และพึมพำผ่านสายลมบนเนินสูงที่ชายแดนหลังวางสายว่า..มันเอาเบอร์กูมาจากไหนวะ!?