“พล.อ.ธนะศักดิ์” ยันประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายก่อการร้าย ระบุ หลังหน่วยข่าวอิสราเอล ประสานมา ศตก.ก็ส่งเจ้าหน้าที่ลงปฏิบัติงาน ติงพวกข้ามขั้นตอนจะสะดุดขากันเอง แต่ดีที่จับได้ จึงไม่เป็นความบกพร่อง พร้อมสอนมวยข่าวกรองเป็นเรื่องความลับ ถ้าเอามาพูดก็ไม่ใช่ความลับ
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯแจ้งเตือนการก่อการร้ายในประเทศไทย ในฐานะที่เคยเป็นผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการ้ายสากล (ศตก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับกองบัญชาการกองทัพไทย ทุกคนยอมรับในสมรรถนะทำงานของเรานับ 10 ปีที่ผ่านมา ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมาย แต่ประเทศไทยเป็นเมืองเปิด อาจจะมีกลุ่มผลประโยชน์ หรือเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายที่จะเข้ามา แต่นโยบายของเรา คือ เชิญคนเข้าประเทศ และทุกคนก็เข้ามาภายใต้กฎกติกา การจะดำเนินการใดๆ ก็ตาม มีขั้นตอนอยู่ ทั้งการผ่านเข้า-ออก ทางวิธีการศุลกากร ตำรวจตรวจคนเมือง หน่วยข่าวกรอง ยืนยันว่า ทุกหน่วยมีการประสานงานและทำกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ ศตก.ได้รับการประสานงานมาจากหน่วยข่าวจากประเทศอิสราเอลใช่หรือไม่ พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า การทำงานของ ศตก.ก็พร้อมอยู่แล้ว แต่การจะออกปฏิบัติงานต้องมีขั้นตอนระเบียบปฏิบัติประจำ ถ้าหากมีการแซงหรือข้ามขั้นก็จะสะดุดขากันหมด ซึ่งคงจะไปบอกว่าบกพร่องในเรื่องการเข้มงวดกวดขันหรือไม่นั้นคงพูดไม่ได้ เพราะเป็นธรรมดาที่มีทั้งคนทำกับคนไม่ทำ แต่ในที่สุดเราก็จับได้ การจับได้ก็แปลว่าเรามีประสิทธิภาพ บางครั้งการปฏิบัติงานก็ต้องมีการปิดบังข้อมูลบ้าง ไม่มีใครเขาพูดมาก เพราะหากพูดมากไปก็จะไปกระทบและทำให้เป็นเรื่องใหญ่
“ข่าวกรองเป็นเรื่องความลับ ส่วนข่าวสารเป็นเรื่องเปิดเผย ข่าวกรองเมื่อกรองแล้วก็อาจจะใช่ หรือ ไม่ใช่ก็ได้ กรองในภาษาทหารจะมีข่าวกรอง 1, 2, 3 ก็ขึ้นอยู่ว่าระดับไหน ถ้าเป็นเรา เราก็จะไม่พูดเรื่องความลับ ถ้าเอามาพูดก็ไม่ใช่ความลับ” พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ผู้ก่อเหตุสามารถรวบรวมสารตั้งต้นที่เป็นวัตถุระเบิดได้เป็นจำนวนมาก เกิดช่องว่างในการทำงานหรือไม่ พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า บ้านเราเป็นเมืองเปิด ทุกคนสามารถซื้อสิ่งของเหล่านั้นได้ เพราะปุ๋ยไม่ใช่สารตั้งต้น ทุกคนสามารถซื้อไปได้ แต่ขอบเขตมันใหญ่โต ซึ่งการตรวจพบถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะแสดงว่าเรามีประสิทธิภาพ ถ้าตรวจไม่พบก็ไม่มีประสิทธิภาพ แต่กว่าจะสำเร็จต้องมีขั้นตอนต่อไปอีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด ส่วนหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการตรวจตรานั้น ก็ได้มีการพูดคุยกันเสมอ และทุกคนทำตามหน้าที่ตนเอง แค่นี้ก็น่าจะจบหมดแล้ว มั่นใจว่าทุกคนทุกหน่วยงานก็ทำตามหน้าที่อย่างดีที่สุด