“กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ” เกือบครึ่งพันบุกทำเนียบ ร้องนายกฯ กรณีนักเรียนหญิงมุสลิม ถูกปิดกั้นในเรื่องการแต่งกาย เสนอให้ทำหนังสือยืนยันการคลุมฮิญาบ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาฯ และให้ดำเนินทางวินัยกับครูที่โรงเรียนวัดหนองจอก มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ “วรวัจน์” รับปากสางปัญหา
วันนี้ (10 ม.ค.) กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติและองค์กรเครือข่ายประมาณ 400 คน เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล และเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ทำเอกสารยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร ว่า “การแต่งกายคลุมฮิญาบของนักเรียนหญิงมุสลิม เป็นการแต่งกายที่ถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ โดยไม่ขัดแย้งกับระเบียบของโรงเรียนแต่อย่างใด และให้มีเอกสารยืนยันว่า “นักเรียนหญิงมุสลิมสามารถคลุมฮิญาบเช่นเดียวกันนี้เข้าโรงเรียนได้ทั่วทั้งประเทศ โดยไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับระเบียบของโรงเรียนต่างๆ แต่อย่างใด” และให้มีการดำเนินการทางวินัยกับผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวโดยด่วนที่สุด เนื่องจากกรณีปัญหาที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก พยายามขัดขวางการคลุมฮิญาบเข้าเรียนในโรงเรียนตามปกติของ น.ส.อาทิตยา สุไลมาน เด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 คนหนึ่ง ซึ่งกรณีดังกล่าวได้เกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2553 จนปัญหาบานปลายส่งผลให้เด็กนักเรียนคนดังกล่าวต้องยุติการเรียนมา 1 เทอม และทำให้การเรียนล่าช้า ในขณะที่เธอใกล้จะจบมัธยมปลายเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
กลุ่มผู้ชุมนุมได้ก่อก้อนอิฐขึ้นเป็นกำแพงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเห็นว่ากำแพงนี้ต้องทุบเนื่องจากทุกคนมีความเท่าเทียมกันในสังคม
อย่างไรก็ตาม จากแถลงการณ์ของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ได้อ้างถึงพฤติกรรมของครูในโรงเรียนดังกล่าว เช่น “หากต้องการความอนุเคราะห์จากครูต้องถอดผ้าคลุมฮิญาบก่อน” หรือ “ครูไม่สามารถที่จะสอนได้ เพราะตอนนี้เพื่อนเราคนนึงกำลังแต่งกายผิดระเบียบ” เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีกหลายอย่าง โดยรองผู้อำนวยการฝ่ายปกครองของโรงเรียนพยายามขัดขวางการเข้าเรียนที่หน้าประตูโรงเรียน และยังถูกเรียกมาต่อว่าจากรองผู้อำนวยการโรงเรียนทั้ง 4 คน
จากนั้นเวลา 11.30 น.นายยงยศ เกตุเลขา แกนนำกลุ่ม ได้นำตัวเด็กนักเรียนคนดังกล่าวมายังตึกบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาล และได้พบกับ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เลขาธิการ โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที ภายหลังการหารือ นายวรวัจน์ ได้เดินไปพบผู้ชุมนุมบริเวณหน้าประตู 1 ทางเข้าทำเนียบรัฐบาล
โดย นายวรวัจน์ กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เจตนารมณ์ของกระทรวงศึกษาธิการ ต้องเรียนว่า โดยภารกิจของกระรวงศึกษาธิการเราจัดภารกิจเพื่อการเรียนการสอนให้กับทุกคนที่เป็นคนไทยไม่ว่าจะเป็นชาติศาสนาใดเราก็จัดทำอย่างเท่าเทียมกัน แต่การเรียนการสอนเป็นเรื่องเดิมที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งตนพึ่งจะรับทราบเรื่องนี้ และได้มอบหมายให้เลขา สพฐ.รับเรื่องดังกล่าวไปดูแลโรงเรียนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การแต่งกายตามหลักศาสนาของนักเรียนมุสลิมทั้งหมด เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ ทางกระทรวงจะรับเรื่องเอาไว้และจะแก้ไขให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และจะดูแลให้ดีที่สุด
ด้าน นายชินภัทร กล่าวว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะว่าเราต้องยึดมั่นในภารกิจของการศึกษาที่จะพัฒนาเด็กของเราให้มีอนาคตและเป็นกำลังของประเทศชาติ ซึ่งโดยหลักทางสังคมแล้วเราไม่ได้มีการแบ่งแยก เพราฉะนั้นโรงเรียนของเราไม่เลือกปฏิบัติเด็กนักเรียนไม่ว่าจะมาจากภูมิหลังอย่างไรก็ตาม โรงเรียนไม่มีหน้าที่จะเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้จรรยาบรรณของครูก็จะต้องปฏิบัติต่อเด็กด้วยความรักและปรารถนาดี ซึ่งทางสพฐ.ได้ประสานงานเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่การดำเนินการอาจจะมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้ สพฐ.มาดูแลและคลี่คลายปัญหานี้โดยตรง ซึ่งเมื่อวานนี้ตนก็ได้ลงพื้นที่และได้พูดคุยกับ นายยงยศ เกตุเลขา ซึ่งเป็นตัวแทน โดยได้ข้อสรุปในการดำเนินการ 3 ข้อ คือ 1.มอบให้ทางผู้อำนวยการโรงเรียน ได้มีการประชุมชี้แจงคณะครูในโรงเรียน ให้ปฏิบัติหน้าที่ภารกิจทางด้านการศึกษาแล้วก็ชี้แจงให้ทราบว่าการแต่งกายตามหลักศาสนาของนักเรียนไม่ได้ขัดต่อระเบียบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ 2.มอบให้ทางผู้อำนวยการโรงเรียนมีหนังสือตอบข้อซักถามจากนางสาวอาทิตยา เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกาย เพื่อให้มีความชัดเจนว่าการแต่งกายตามหลักศาสนาไม่ได้ขัดต่อระเบียบการแต่งกายของกระทรวงศึกษาธิการ 3.ให้โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตารางสอนที่เหมาะสมจัดทำขึ้นเป็นมาตรการชั่วคราว เพื่อให้ นางสาวอาทิตยา ได้มีโอกาสในการเรียนจบเหมือนเพื่อนนักเรียนทุกคนต่อไป ทั้งนี้ เราจะเร่งแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด และเพื่อให้เด็กทุกคนได้รับความดูแลอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น ขอให้ทุกคนมั่นใจ และสบายใจ มีอะไรก็ของให้ใช้เหตุใช้ผล อย่าได้ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา