หลังจากรัฐบาลล้มเหลวในการบริหารประเทศหลายๆ ด้าน ก็เกิดแรงกระเพื่อมเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายวงมากขึ้น เพราะมีเสียงบ่นแกมด่าอย่างหนาหู เรื่องความไม่มีน้ำยาของคณะรัฐมนตรีชุดนี้
ที่ดูจะไร้ความสามารถ วางตำแหน่งหน้าที่ผิดฝาผิดตัวตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง ครม.ยิ่งลักษณ์ 1
แต่นั่นก็คงไม่แปลก เพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่าเก้าอี้แต่ละตัวที่พรรคเพื่อไทยมอบให้ รัฐมนตรีแต่ละคน เป็นการตอบแทนผลประโยชน์ที่ทำไว้ให้กับพรรคตามโควตาที่ได้ตกลงกันไว้ ว่าเด็กใคร-ภาคไหน จะได้เก้าอี้กี่ตัว มีเพียงรัฐมนตรีส่วนน้อยเท่านั้น ที่ถูกเลือกเข้ามาเพื่อให้ภาพของ ครม.ถูกวิจารณ์น้อยลง
กระแสเรื่องการปรับ ครม.ซาลงไปพักหนึ่ง วันนี้เริ่มต้นปี 2555 ข่าวคราวการปรับ ครม.เริ่มกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐบาลผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปได้เรียบร้อย ก็ถึงคราวได้ทำงานจริงจังเสียที
นับเป็นโอกาสดีที่ระยะเวลาอันใกล้นี้ น่าจะมีการเขย่าติ้วปรับ ครม.ล้างน้ำกันเสียทีหนึ่ง เพื่อเริ่มต้นศักราชการทำงานครั้งใหม่ของรัฐบาล เป็นการโละรัฐมนตรีที่ “ไร้ผลงาน” หรือ “โลกลืม” ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อปรับออกในคราวเดียวกันด้วย
เวลาที่ประจวบเหมาะน่าจะเป็นช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือเทศกาลตรุษจีน แจกอั่งเปากันเสียทีหนึ่ง
การบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้การทำงานของ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมา หากประเมินแล้วถือว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เสียคะแนนไปเยอะพอสมควรในช่วงที่ถูกน้ำท่วม เพราะแก้ปัญหาล่าช้า ไม่ทั่วถึง ออกมาตรการอะไรออกมาก็ดูจะมีปัญหา มีผลกระทบ
จึงไม่แปลกที่คนในพรรคเพื่อไทยรวมทั้ง นายใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคดีจะนั่งไม่ติด หากปล่อยทิ้งไว้นานไป ท่าจะไปไม่รอดและอาจเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่นอกจากจะทำงานไม่ค่อยเป็นแล้ว ยังไม่สามารถบริหารจัดการหรือสั่งลูกน้องได้อีก
หากจะดูการทำงานที่ผ่านมาของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ กระทรวงที่ดูจะมีผลงานมากที่สุด คงหนีไม่พ้น กระทรวงกลาโหม ซึ่งมีแม่ทัพคือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ได้คะแนนจากประชาชนอย่างท่วมท้นในการช่วยเหลือน้ำท่วมช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีข่าวออกมาเช่นกันว่า แกนนำในพรรคเพื่อไทยหลายคน ไม่ปลื้มพลเอกยุทธศักดิ์
เพราะ “บิ๊กอ๊อด” ไม่มีความเด็ดขาดกับบรรดาเหล่าทัพแถมออกลูกเกรงใจ เห็นได้จากกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีที่มีการงัดข้อเกิดขึ้น จนเป็นที่มาของการพยายามจะแก้ พรบ.กลาโหม แต่นั่นก็คงไม่ทำให้เก้าอี้ตัวนี้สั่นไหวได้
เนื่องจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์ค่อนข้างเข้ากันได้ดี และเป็นที่พอใจของบรรดาผู้นำเหล่าทัพชุดนี้ และหากจะมีการปรับเปลี่ยน เวลานี้ในพรรคเพื่อไทยก็มองไม่เห็นใครที่จะเหมาะสม
ในทางกลับกัน กระทรวงหลักอย่างกระทรวงมหาดไทย โดยการดูแลของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด สามารถสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด หรือส่งความช่วยเหลือให้ประชาชนได้โดยตรงในช่วงมหาอุทกภัยที่ผ่านมา กลับไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์
หนำซ้ำยังถูกด่าอย่างหนักถึงความไร้ประสิทธิภาพของนายยงยุทธ ทั้งๆ ที่เคยเป็นข้าราชการเก่าของกระทรวงคลองหลอดแห่งนี้มาอย่างยาวนาน แต่กลับทำอะไรไม่เป็นเลย ได้แต่แต่งตัวเดินลอยหน้าลอยตาให้ดูดีไปวันๆ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่การปรับ ครม.ครั้งนี้ มีชื่อของ “นายยงยุทธ” ติดโผในการถูกปรับออกจากตำแหน่ง รมว.กระทรวงมหาดไทย แต่ยังคงอยู่ในตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีต่อไป
ขณะที่กระทรวงสำคัญๆทางด้านเศรษฐกิจอย่างกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นเจ้ากระทรวง งานส่วนใหญ่ เน้นไปที่การดูงานในด้านเศรษฐกิจมหภาค นโยบายของกระทรวงด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลตามที่ได้หาเสียงไว้ ทั้งการรับจำนำข้าว การขึ้นค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 1.5 หมื่นบาท เป็นต้น
ซึ่งก็ถือว่าโครงการต่างๆ เริ่มเป็นรูปธรรมจับต้องได้บ้างแล้ว ถือว่าผลงานก็ยังพอไปได้ในส่วนนี้ แต่หากมองไปในช่วงที่ประเทศประสบปัญหาน้ำท่วม ซึ่งนายกิตติรัตน์ได้เป็น 1 ในประธานคณะทำงาน ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเยียวยาในด้านเศรษฐกิจเป็นกรณีพิเศษ กลับพบว่า งานในเชิงโครงสร้างหรือมาตรการในการฟื้นฟูน้ำท่วม แทบจะ ไม่เป็นรูปธรรมเลยก็ว่าได้
จึงเป็นไปได้ว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ นายกิตติรัตน์อาจจะได้นั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจทั้งภาพรวมและการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น
แล้วหวยก็มาออกที่ขุนคลังอย่าง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ซึ่งมาแรงติดโผ การถูกปรับพ้นเก้าอี้ ครม.ในครั้งนี้ เพราะผลงานไม่เข้าตาเท่าที่ควร ซ้ำมิหนำการทำงานยังไปขบเหลี่ยมเฉือนคมกับกิตติรัตน์
มีข่าวเล็ดลอดออกมาตลอดว่า แท้จริงแล้ว ตำแหน่งขุนคลัง ที่นายธีระชัยชูคอเฉิดฉายอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงการตอบแทนผลประโยชน์ที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันเมื่อครั้งคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็น่าจะถูกปรับออกให้ตัวจริงเข้ามาทำหน้าที่แทน
เพราะตอนนี้มีข่าวว่า คนที่อาจจะซิวเก้าอี้ตัวนี้ไปครอง คือ นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เคยถูกวางตัวไว้ในตำแหน่งนี้ แต่ขอถอนตัวออกไป
ส่วนกระทรวงขุมทรัพย์ทองคำ อย่างกระทรวงคมนาคม ภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เพื่อนเตรียมทหาร รุ่น 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ดูจะร้อนแรงไม่น้อย เพราะเกิดความไม่ลงรอยกันในการทำงานระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพล กับ 2 รัฐมนตรีช่วย คือ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก และ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ประกอบกับไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่นหรือเป็นชิ้นเป็นอันออกมาเลย
จึงเป็นที่มีของกระแสข่าวว่า รัฐมนตรีทั้ง 3 คนของกระทรวงนี้อาจมีการถูกปรับพ้นหรือสลับเก้าอี้ทั้งหมด โดยเฉพาะในตำแหน่งของนายกิตติศักดิ์ ที่มีข่าวว่าเคยให้คำมั่นสัญญากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนที่บินไปขอตำแหน่งถึงประเทศบรูไนว่าจะอยู่ 6 เดือนเท่านั้น
การปรับ ครม.ครั้งนี้ คงเป็นการปรับย่อยไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น เพราะหลังจากนี้คงจะต้องมีการปรับ ครม. อีกรอบแน่ เนื่องจากตัวจริงเสียงจริง อย่าง บ้านเลขที่ 111 กำลังจะถูกปลดจากพันธนาการทางการเมืองและกลับมาลงสนามอีกครั้งซึ่งแน่นอนว่า คงต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรีบางเก้าอี้ที่ถูกเตรียมพร้อมไว้รอวันนั้นแล้ว
แต่ที่น่าจับตาที่สุด 2 จุด คือ ตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่พรรคชาติไทยพัฒนายึดโควตาอยู่ ถึงเวลาที่พรรคเพื่อไทยขอโควตาคืนกลับมาดูแลเอง โดยแกนนำบางคนไปบอกกับนายใหญ่ว่าต้องเอากลับมา เพราะมีโครงการหลายอย่างที่จำทำจากนี้ไปเกี่ยวเนื่องกับกระทรวงนี้ อีกทั้งเรื่องการบริหารจัดการน้ำต่อไปจะพลาดอีกไม่ได้ ดังนั้นต้องเอากระทรวงหลักนี้มาจัดการรับผิดชอบด้วยตัวเอง
อีกอันหนึ่งคือ การเข้ามาของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ตกลงเป็นสัญญาใจว่าถึงเวลาแล้วที่แกนนำคนเสื้อแดงจะต้องได้เป็นรัฐมนตรี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ตัวเก็งเต็งหาม ในตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ และรมช.มหาดไทย ตามลำดับ หลังคราวที่แล้วผัดผ่อนจนสาวกเสื้อแดงคาใจมาแล้ว
คราวนี้ต้องมีตำแหน่งบ้าง เป็นเรื่องที่นายใหญ่กระอักกระอ่วนเหมือนกัน ไม่ให้ก็โดนด่า ถ้าให้ก็ถูกมองภาพลักษณ์ไม่ดี จ้องจะห้ำหั่น เอาชนะ ปรองดองแต่ปาก
เพราะสัญลักษณ์ของ “ณัฐวุฒิ-จตุพร” มันปรองดอง สมานฉันท์ ไม่ได้เลย