“สุริยะใส” ยันสนิท “จตุพร” เป็นแค่เรื่องในอดีต แต่วันนี้จุดยืนทางการเมืองต่างกันชัดเจน แจงหลังจากยุคทักษิณ เจอกันโดยบังเอิญเพียง 3 ครั้ง ย้ำปรองดองเกิดได้ต้องเริ่มจาก “แม้ว” สำนึกผิดกลับมารับโทษ พร้อมชี้ขับไล่เผด็จการยาก แต่สร้างประชาธิปไตยยากกว่าเพราะนิยามความหมายต่างกัน เป็นเหตุให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคนต้องแยกทางกันภายหลัง
วันนี้ (4 ม.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และผศ.ทวี สุรฤทธิกุล ประธานสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ร่วมรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายสุริยะใสกล่าวถึงกรณีไปออกรายการทีวี “เช้าดูวู้ดดี้” ร่วมกับนายจตุพรว่า จริงๆ หลายรายการ หลายช่องพยายามเชิญตนกับนายจตุพรไปหลายครั้งแล้วแต่ปฏิเสธไป แต่ปีนี้รับปากเพราะเป็นต้นปีใหม่ และจะได้ประเมินสถานการณ์ ฟังนายจตุพรมองในปีกคนเสื้อแดง และฝั่งเรามองอย่างไร
คอนเซ็ปต์รายการคือ คุยเรื่องอดีตของตนกับนายจตุพร ซึ่งเรารู้จักกันมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ว่าตั้งแต่วิกฤตการเมืองยุคทักษิณ 6-7 ปีมานี้ ตนเจอกับนายจตุพรเพียง 3 ครั้ง และเจอโดยบังเอิญทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดร้านเพื่อน งานแต่ง งานบวชของพรรคพวกที่เป็นเครือเดียวกัน
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า ในรายการช่วงแรกจะพูดเรื่องเบาๆ พูดถึงเรื่องในอดีต ซึ่งเราสนิทกันจริงปฏิเสธไม่ได้ แต่วันนี้จุดยืนทางการเมืองต่างกัน ตนก็พูดชัดในรายการว่าเรายืนกันคนละข้าง ปีนี้ก็ต้องยืนกันคนละข้าง เพราะปีนี้วาระทักษิณชัดมาก ตนก็ทักท้วง คัดค้าน ว่าถ้ารัฐบาลจะเอาวาระทักษิณมาเป็นวาระใหญ่ รัฐบาลเอาไม่อยู่แน่ เพราะจะเจอแรงต้านจากมวลชน แต่เผอิญตอนท้ายผู้จัดรายการให้จับมือกัน พี่น้องพันธมิตรฯ เห็นก็เป็นกังวล ขอยืนยันว่าจุดยืนตนเหมือนเดิม แต่อดีตตนกับนายจตุพรเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และเรารู้จักกันมาจริง
ซึ่งตนก็พูดกับนายจตุพรว่าปรองดองจะเกิดได้ต้องเริ่มที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเสียสละกลับมารับโทษ ถ้าเริ่มตรงนั้นได้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลายเป็นผู้นำในการปรองดองด้วยซ้ำ แต่วันนี้ไม่เข้ารับคำพิพากษาและด่ากระบวนการยุติธรรมไทย มันนับหนึ่งไม่ได้ จะออกกฎหมายชื่ออะไรก็ตามมันไปไม่ได้
นายสุริยะใสกล่าวอีกว่า ได้คุยกับนายจตุพรก็เห็นแนวคิดว่านิรโทษกรรมเกิดไม่ง่าย เรื่องนี้ นายจตุพรมองว่าพวกเขาเจ็บ ติดคุก แต่อีกฝ่าย นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ ไม่โดน ถ้าจะนิรโทษกรรมต้องเท่ากันหน่อย แสดงว่าก็ไม่ง่ายที่จะนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองทั้งหมด
เมื่อกล่าวถึงประเด็นที่ว่ามีเพื่อนหลายคนที่เคยเดินบนถนนสายประชาธิปไตยมาด้วยกัน แต่ก็ต้องมาเจอทางแยก นายสุริยะใสกล่าวว่า คิดว่าอดีตตนกับนายจตุพร ต่อต้าน ขับไล่เผด็จการ แต่วันนี้เป็นสถานการณ์การสร้างประชาธิปไตย ซึ่งความหมายประชาธิปไตยของตนกับนายจตุพรอาจคนละความหมาย
การต่อต้านเผด็จการมันง่ายมากที่จะบอกว่าใครเป็นเผด็จการ แต่คำว่าประชาธิปไตย ตนรู้สึกว่ามันน่ากลัวพอๆกับคำว่าเผด็จการ เพราะประชาธิปไตยเสื้อแดงคืออะไร เสื้อเหลืองคืออะไร ประสบการณ์คนเดือนตุลา หรือพฤษภา มันไม่มีทางที่จะอธิบายสถานการณ์วันนี้ได้เลย มันซับซ้อนมากกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเยอะเลย การขับไล่เผด็จการยาก แต่การรวมตัวในการสร้างประชาธิปไตยยากยิ่งกว่า
ด้าน ผศ.ทวี กล่าวถึงบทบาทของสื่อในกรณีที่นายวุฒิธร มิลินทจินดา (วู้ดดี้) เชิญบุคคลที่มีจุดยืนการเมืองต่างกันไปร่วมรายการว่า ตนรู้จักกับวู้ดดี้ เป็นลูกศิษย์ตนที่สถาบันพระปกเกล้า เขาเป็นคนที่ค่อนข้างรำคาญบ้านเมืองที่วุ่นวาย อันนี้ถ้าไม่มีใบสั่งก็คงมาจากความคิดวู้ดดี้เองที่อยากให้มีภาพแบบนี้เกิดขึ้น เขาเคยรณรงค์เคลื่อนไหวเข้าร่วมในกระบวนการปรองดองต่างๆ ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าถือว่าเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญ เราพยายามจะบอกนักศึกษาว่าต้องดำเนินการต่างๆ ไม่ให้มีการแตกแยก มาเรียนไม่ว่าฝ่ายไหนอย่ามาทะเลาะกัน วู้ดดี้บุคลิกส่วนตัวเป็นอย่างนั้น
แต่หากมองในภาพรวมของสื่อประเทศไทย สื่อยังมองประเด็นนี้น้อยไปหน่อย ความจริงสื่อควรที่จะชี้ชัดอะไรคือธรรมะ อะไรคืออธรรม แต่สื่อพยายามขายสิ่งชั่วร้ายหรืออธรรมตลอด เพราะเรื่องดีๆขายไม่ได้ เลยเอาความเลวร้ายมาขาย สื่อต้องเป็นเข็มทิศ ชี้นำสภาวะบ้านเมือง อันนี้สื่อต้องปรับทัศนะ