xs
xsm
sm
md
lg

พ้นสภาพ ส.ส.สำหรับ ตู่-จตุพร เสียหายหลายแสน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จตุพร พรหมพันธุ์
ผ่าประเด็นร้อน

หากจะเปรียบเทียบ จตุพร พรหมพันธุ์ ในความเป็นจริงแล้วไม่ต่างจาก “ยุงรำคาญ” ที่ล่าสุดทางนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันแล้วว่าเป็นยุงที่สร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังอยู่ในเวลานี้เท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวพาหะหรือตัวแพร่เชื้ออย่างที่ “ต้องหวั่นกลัว” กัน ความหมายก็คือ “ไม่มีความหมาย” นั่นเอง

ตัวจตุพรก็เช่นเดียวกัน ที่มักแสดงสีหน้าออกท่าทางขึงขัง แต่แท้จริงแล้ว “ใจเท่ามด” เมื่อถึงคราวคับขันก็มักเผ่นเอาตัวรอดก่อนทุกที มิหนำซ้ำยังใช้ตำแหน่งแห่งที่มาเอาเปรียบคนอื่นที่เป็นพวกเดียวกันอยู่ร่ำไป

สำหรับเขาสามารถไต่เต้าขึ้นมายืนอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ถือว่ามาไกลอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อมองย้อนหลังกลับไปตั้งแต่สมัยเป็นเด็กวัด และใช้เวลาเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นเวลานาน แต่เป็นนักโต้วาที พูดเป็นต่อยหอยสนใจเรื่องการเมืองทำให้ได้ใช้โอกาสสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองมาตลอด ซึ่งสำหรับเขาจะเลือกเฉพาะม็อบสำคัญ ม็อบใหญ่เท่านั้น เช่น เมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 35 จากนั้นก็เข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัวโดยเดินตามหลัง “ไอ้ก้านยาว” ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ แต่ในที่สุดก็แยกย้ายกันไป

นั่นเป็นเส้นทางคร่าวๆ ของ ตู่-จตุพร ก่อนที่จะมาถึงวันนี้!!

จตุพรยังปักหลักอยู่กับพรรคไทยรักไทยรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร และเลือกใช้เส้นทางลัดด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ต้น และสามารถอาศัยลีลาคำพูดสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเบียดแทรก “หัวโจก” คนอื่นๆขึ้นมาอยู่ในแถวหน้า เนื่องจากเมื่อนับพรรษา และเทียบกับคนอื่นที่ต่ำชั้นและไร้ราคาทำให้เขาได้รับโอกาสเป็นผู้สมัคร ส.ส.ก่อนใคร และที่ผ่านมาก็ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.นี่แหละที่ “คุ้มกะลาหัว”ให้สามารถยื้อคดีเอาไว้ได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน 2553 และในช่วงพฤษภาคม 54

แต่เป็นเพราะความห้าวเกินพิกัด หรือต้องการเร่งเกมทำแต้มให้เหนือคนอื่นจึงต้องสำแดงเดชโชว์นายหรือเปล่าไม่อาจทราบได้ ทำให้เขาต้องเสี่ยงด้วยการปราศรัยจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตย์ด้วยวาทะ “กระสุนพระราชทาน” จนต้องระเห็จไปอยู่ในคุก เดินสวนทางกับหัวโจกคนเสื้อแดงคนอื่นที่ได้รับการประกันตัวออกมา

อย่างไรก็ดี เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้การรับรองการเป็น ส.ส.ของเขาหลังการเลือกตั้ง (ชั่วคราว) แบบพิลึกพิลั่น ทำให้ได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองออกมาในช่วงเปิดสมัยประชุม ทำให้เว้นวรรคไม่ต้องถูกดำเนินคดี และแม้ว่าเมื่อปิดสมัยประชุมแล้วเชื่อว่าในฐานะที่เป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกุมกลไกอำนาจรัฐคงได้รับประโยชน์ไม่น้อย แต่จู่ๆ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ประชุมเรื่องสมาชิกภาพ ส.ส.ของ จตุพร จากกรณีไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554เนื่องจากถูกสั่งจำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยมีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 ให้พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ตามมาตรา 106 (4) ของรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดีต้องส่งเรื่องให้ประธานรัฐสภายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป

แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว เขาสามารถใช้แง่มุมทางกฏหมายยื้อเวลาได้อีกนาน เพราะกว่าจะส่งไปถึงประธานรัฐสภา ซึ่งก็คือ สมศักดิ์ เกียติสุรนนท์ พวกเดียวกันทำท่าทางอิดออด อ้างโน้นอ้างนี่ต้องพิจารณารายละเอียดอีกพักใหญ่ ก่อนที่จะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ เมื่อยื่นเรื่องแล้วก็ต้องลุ้นอีกว่าศาลจะรับหรือไม่รับ อีกทั้งระหว่างนี้ยังสามารถทำหน้าที่เป็น ส.ส.ได้ตามปกติ เพราะไม่เหมือนกับกรณีทุจริตเลือกตั้ง ที่เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งชี้ขาดแล้วส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ เหมือนที่ “ยุทธ ตู้เย็น” เคยโดนมาก่อน

ดังนั้น หากกล่าวโดยสรุปแล้ว จตุพร พรหมพันธุ์ ยังมีเวลาอีกพักใหญ่ อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาตามรูปการณ์แล้วในทางกฎหมายแล้วน่าจะพอคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า “เสร็จแน่” ถือว่าชัดเจนอีกทั้งเมื่อดูจากการลงมติของกกต.ก็พบว่า “เสียงขาด” ไม่ใช่ก้ำกึ่งเหมือนกับหลายกรณีที่เคยเกิดขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณากันในมุมของจตุพรบ้าง หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยออกมาแบบนี้ ถือว่าส่งผลกระทบต่อตัวเขาอย่างแรง หนึ่ง กระทบต่อความก้าวหน้าทางการเมืองที่เป็นอยู่ เพราะเมื่อเทียบกับหัวโจกคนอื่นแล้วถือว่าเขาได้สะสมแต้มได้มากกว่าใครแล้ว และหากมีการให้โควต้าคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเมื่อเงื่อนไขทางสังคมเปิดแล้ว เขาก็มั่นใจลึกๆว่าต้องไม่พลาดแน่ แม้กระทั่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หัวโจกอีกคนหนึ่งที่ตีคู่กันมา แต่พรรษาการเมืองยังต่ำชั้นกว่า

ประการต่อมา ซึ่งถือว่าสำคัญที่สุดก็คือ มันจะมีผลกระทบต่อสารพัดคดีที่ค้างคาอยู่ในศาล ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.เข้ามาคุ้มกะลาหัว อยู่ตลอดเวลา หากนับย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อเหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนเมษายน 2552 คราวนั้นเขาก็อ้างว่าได้ออกไปตรวจแนวด้านนอกแล้วก็เผ่นหายไปเลย จนกระทั่งสถานการณ์คลี่คลายได้เข้ามอบตัวและใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวเองออกไป สำหรับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อครั้งขึ้นปราศรัยวันที่ 10 เมษายน 2554 ก็ใช้ความเป็น ส.ส.ในช่วงสมัยประชุมต้องเว้นการดำเนินคดีเอาไว้ชั่วคราว และหลังจากที่ปิดสมัยประชุมสภาแล้ว เขาก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อ

การแสดงท่าทีของ จตุพร หลังจากได้รับทราบเรื่องมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ชี้ขาดให้พ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.ด้วยคะแนนเสียงขาดลอยนั่นคือ 4 ต่อ 1 ด้วยอาการไม่ยี่หระ อ้างว่าจะได้กลับไปทำหน้าที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงให้เต็มที่ก็ตาม แต่นั่นน่าจะเป็นการ “กัดฟันพูด” มากกว่า เพราะในความเป็นจริงแล้วการเป็น ส.ส.สำหรับเขา ถือว่ามีประโยชน์มากมายอย่างที่เห็นกันอยู่ ขณะเดียวกันในทางตรงข้ามหากพ้นสมาชิกภาพมันก็ต้องเสียหายหลายแสน และคงนึกไม่ถึงว่าจะอยู่ในภาวะวิกฤตต้อง “ลอยคอเดียวดาย” แบบนี้!!

กำลังโหลดความคิดเห็น