“ชวนนท์” ยัน ปชป.ไม่ใช่คู่กัด “ทักษิณ” แต่รัฐบาลเป็นผู้หมกมุ่นกับคนคนเดียว ยัน “อองซานซูจี” คนละมาตรฐานกับ “นช.แม้ว” วอนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอย่าทำลายนิติรัฐ อัด “ปึ้ง” อัปยศ คว้าเจรจาเปิดบ่อน้ำมันติดมือกลับจากเขมร ปล่อยให้กัมพูชาซัดไทยรุกรานอธิปไตย พร้อมท้ารีบเจรจาเอ็มโอยูปี 44 ชี้จุดเริ่มต้นนับถอยหลังรัฐบาล “ปูนิ่ม” จากเอ็มโอยูฉบับขายชาติ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีเหตุผลที่พรรคจะไปหมกมุ่นกับปัญหาของบุคคลดังกล่าว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณเองที่เป็นคู่ขัดแย้งของรัฐ เป็นคู่ขัดแย้งกับกฎหมายไทย และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลเองที่หมกมุ่นในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ออกพาสปอร์ตให้ การทำเรื่องของพระราชทานอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรม สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีสองมาตรฐานเหนือคนไทย รัฐบาลทำให้อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งทำให้เราจำเป็นต้องมาปกป้องระบบนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ
“ที่บอก พ.ต.ท.ทักษิณอยากกลับบ้านนั้น จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่เดินไปที่สถานเอกอัครราชทูตของประเทศนั้นๆ ขอใบเซอร์ติฟิเคตก็กลับบ้านได้ทันที”
ส่วนที่มีการพูดกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษการเมืองจะให้มีการกักบริเวณแทนการติดคุกนั้น นายชวนนท์กล่าวว่า อย่าทำให้สังคมเกิดความสับสน ยืนยันว่านักโทษทางการเมืองในประเทศไทยไม่มี เพราะคนที่เป็นนักโทษการเมืองคือ คนที่คิดตรงข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐ แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายแล้วถูกจับอย่างนางอองซานซุจี แต่สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดคดีอาญา ศาลก็ได้พิพากษาความผิดผู้อื่นที่เป็นนักการเมืองลงโทษไปแล้ว คนเหล่านั้นก็ยอมรับชดใช้กรรมตามคำตัดสินของศาล แต่ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวจะต้องไม่รับผิด ไม่รับโทษ
“อยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอย่าทำให้หลักนิติรัฐของบ้านเมืองเสียหาย ถ้าพูดอย่างนี้แปลว่า 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไม่ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณต้องได้ทุกอย่างคืนก่อนบ้านเมืองจึงจะสงบสุขได้ และไม่ใช่เรื่องของไพร่ และอำมาตย์อย่างที่เคยกล่าวอ้าง แต่เป็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นอำมาตย์เอง”
นายชวนนท์กล่าวอีกว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เดินทางไปยังประเทศกัมพูชาเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา บอกว่าจะไปพูดเรื่องเฮลิคอปเตอร์ไทยที่ถูกยิง แต่ก็ไม่มีการทำหนังสือทักท้วงอย่างเป็นทางการ และน่าเสียใจที่นายสุรพงษ์กลับมาได้อย่างเดียว คือ การไปเจรจาเปิดบ่อน้ำมัน บ่อก๊าซในทะเลตามบันทึกความเข้าใจเอ็มโอยูปี 44 ไม่ใช่ไปแสดงออกถึงสิทธิเหนือดินแดนของไทยต่อกัมพูชาแต่อย่างใด
“ไม่มีการหยิบยกเรื่องเฮลิคอปเตอร์มาพูดบนโต๊ะ ปล่อยให้กัมพูชาไปพูดว่าไทยเป็นผู้รุกรานจึงถูกยิงเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะถูกบันทึกว่าไทยยินยอมให้กัมพูชานำไปกล่าวอ้าง ถือเป็นความอัปยศของนายสุรพงษ์ที่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศ และอยากจะขอท้าให้รีบทำเรื่องการเจรจาเอ็มโอยูปี 44 เพราะนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังของรัฐบาลชุดนี้ เป็นการขายชาติจากเอ็มโอยูฉบับนี้ เพราะไทยเสียดินแดนชัดเจนจากการขีดเส้นล้ำเข้ามาในประเทศไทย”