ภูมิใจไทยร่วมขวางแก้ รธน. ย้อนคำปราศรัย “ปู” มอบ คอป.เป็นผู้ตัดสินก็ควรทำตามที่พูดไว้ ด้านประธานสภาฯ เผยเพื่อไทยยังไม่มีมติ แค่รับในหลักการ หลังปีใหม่ค่อยคิด ยันรัฐบาลแก้ รธน.แน่นอนเพราะเป็นนโยบาย
วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เรื่องดังกล่าวพรรคยังไม่ได้หารือกัน แต่สิ่งที่เคยพูดกันในพรรค มีความเห็นว่าสถานการณ์ช่วงนี้ ยังไม่เหมาะสมที่จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะตอนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยปราศรัยหาเสียงที่ราชมังคลากีฬาสถานก่อนเลือกตั้ง พูดไว้ชัดเกี่ยวกับเรื่องความปรองดองและการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะมอบเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นผู้ตัดสิน ดังนั้น ควรจะรอผลจากทาง คอป.ก่อน
นายศุภชัยกล่าวว่า การที่วิปรัฐบาลซึ่งตั้งมาโดยรัฐบาล ออกมามีความเห็นว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวส่อให้เกิดความไม่ตรงกับที่นายกฯ เคยแถลงต่อรัฐสภา ไม่ตรงกับสิ่งที่หาเสียงไว้ พรรคเห็นมาตลอดว่าบรรยากาศทางการเมือง ไม่ควรสร้างให้บรรยากาศเกิดความรุ่มร้อนขึ้น เพราะประชาชนเพิ่งทุกข์ร้อนจากปัญหาน้ำท่วม อีกทั้ง เศรษฐกิจยังมีปัญหา ดังนั้น หากยิ่งสร้างปัญหาหรือทำบรรยากาศเร่าร้อน ก็จะทำให้เกิดปัญหาในบ้านเมือง
“ปัญหาในบ้านเมืองที่มีอยู่แล้วก็จะเกิดขึ้นอีก ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่เป็นผู้ขัดแย้ง จู่ๆ จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อาจก่อนให้เกิดผลกระทบของความไม่เห็นด้วยของประชาชน และผมเห็นว่าไม่ควรให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ วันนี้สภาผู้แทนราษฎร มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางปรองดองแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ซึ่งตั้งมาจากทุกพรรคการเมือง และรัฐบาลก็ตั้งคนของรัฐบาลมาร่วมอยู่ด้วย”
นายศุภชัยกล่าวว่า กรรมาธิการชุดดังกล่าวกำลังดำเนินการอยู่ ควรรอให้ตกผลึกก่อน ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใดไม่เป็นประชาธิปไตย และก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ควรรอให้ทุกอย่างได้ข้อสรุปก่อน รัฐบาลไม่ควรรีบเร่ง เพราะมีเรื่องต้องให้ทำอีกมาก และยืนยันว่าพรรคไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า แม้มีเงื่อนไขที่จะตั้งตัวแทนของประชาชนเข้าไปอยู่ ส.ส.ร.ด้วย นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นวิธีคิดว่าจะเอาอย่างไร ในที่สุดเอาจำนวนมือในสภาก็จะได้อย่างที่พรรคเพื่อไทยต้องการ วันนี้มีคนตั้งคำถามว่าถ้ามีการตั้ง ส.ส.ร. โดยวิธีการเลือกมาแต่ละจังหวัดบวกกับนักวิชาการ บวกคะแนน ส.ส.เป็นตัวตั้ง และเอาทุกจังหวัด ก็จะได้ ส.ส.ร.เท่ากับ ส.ส.ร.ก็ยังเป็นตัวแทนที่มาจากพรรคการเมือง ซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาบ้านเมือง เพราะตัวเองอยากได้อย่างไรก็ตั้งธงอย่างนั้น
ส่วนจะแก้ปัญหาความขัดแย่งได้หรือไม่คงไม่ใช่ หากเข้าไปในโลกโซเชียลก็มีคนต้านความคิดนี้นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าวก็ยังไม่ตกผลึกภายในพรรคเพื่อไทย ดังนั้น ควรจะให้เรื่องดังกล่าวมีความชัดเจนภายในพรรคเพื่อไทยก่อน
ส่วนบางฝ่ายต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 นั้น พรรคไม่เห็นด้วย แม้บทลงโทษดังกล่าวจะถึงขั้นประหารชีวิต ก็ไม่ได้กระทบต่อประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะมันไม่มีทางที่จะมีการกระทำอันใด ที่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฎหมายนี้มีไว้จัดการกับผู้ที่ไม่จงรักภักดี การจะแก้หรือยกไปอยู่ในหมวดความผิดเรื่องการหมิ่นประมาท พรรคคงไม่ยอม และใครที่มีความเห็นดังกล่าวควรอยู่นิ่งๆ
“วันนี้รัฐบาลควรเอาเวลาไปปราบเว็บหมิ่นสถาบันอย่างจริงจัง แต่ที่จะทำให้ความผิดมาตรา 112 เบาลง หรือความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดิน ให้กลายเป็นความผิดส่วนตัว หรือเป็นความคิดที่มีจิตไม่ปกติ เพราะคนไทยคงไม่ยอมรับ”
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสายรัดธนบัตรที่พบในบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดคมนาคม มาจากธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง และเป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากกระทรวงคมนาคม นายศุภชัย กล่าว จะเกิดขึ้นในช่วงไหนก็ตาม แต่ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบคือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และพรรคยืนยันมาตลอดไม่ได้เกี่ยวข้อง รวมถึงนายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ อดีต รมว.คมนาคม ด้วย
ขณะที่ นายโสภณกล่าวยืนยันว่า ตนไม่ทราบ และไม่ขอออกความเห็นในเรื่องดังกล่าว จากนั้น นายโสภณก็ได้เดินเลี่ยงผู้สื่อข่าวไปทันที
ด้าน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มจะส่งเข้ามาที่สภาว่า เท่าที่ติดตามการประชุมพรรค ทางพรรคเพื่อไทยยังไม่มีมติว่าจะส่งเรื่องดังกล่าวตอนนี้ แค่มีมติว่าเห็นด้วยในหลักการที่จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จะเป็นช่วงเวลาไหน หลังปีใหม่ค่อยมาพิจารณากันอีกครั้ง
เมื่อถามว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้ทักท้วงการแก้ไขรัฐธรรมนูญแสดงว่าจะสามารถเดินแก้ไขต่อไปได้หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ที่จริงเรื่องนี้มีความชัดเจนตอนแถลงนโยบายว่าเป็นนโยบายอยู่แล้ว เป็นภาระหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว เมื่อถามว่า เมื่อเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องทำอยู่แล้ว ควรจะมีความชัดเจนด้วยหรือไม่ว่าแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญคือประเด็นไหนและมีเหตุผลอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้ทางพรรคกำลังศึกษากันอยู่ แต่เท่าที่ตนทราบนั้นน่าจะมีการแก้มาตรา 291 เพื่อให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.และให้ ส.ส.ร.ในฐานะตัวแทนประชาชนเข้ามาพิจารณาว่าเห็นควรจะให้อย่างไร
ส่วนที่มีความเเป็นห่วงจากทางฝ่ายค้านว่า ส.ส.ร.ว่าอาจจะถูกครองงำโดยรัฐบาลหรืออาจะมีการร่างกฎเกณฑ์ที่เป็นการลอกสเปค นายสมศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเลย วิตกไปเองหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะให้ความมั่นใจกับสาธารณะในเรื่องนี้อย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า เจตนาของพรรคเพื่อไทยเท่าที่ติดตามเขาต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของประชาชน เพื่อให้ตรงไม่ตรงมา เชื่อว่าอย่างนั้นเพราะพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตัวแทนของประชาชนน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
เมื่อถามว่า แต่ที่ผ่านมาในส่วนของพรรคเพื่อไทย เหมือนกับว่ามีธงในบ้างเรื่องเช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 นายสมศักดิ์กล่าวว่า มาตรา 309 ถ้าต้องขยายความ แล้วมาตรา 309 คืออะไร แต่ความหมายเท่าที่ตนทราบมาตรา 309 ถ้าแปลไทยเป็นไทยก็หมายถึงคณะปฏิวัติและเครือข่ายทำอะไรก็ไม่ผิด ถึงผิดก็ถือว่าไม่ผิดทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต กรณีอย่างนี้ก็ต้องถามประชาชนว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ควรจะแก้ไขหรือไม่ ก็ต้องให้ตัวแทนประชาชนเป็นผุ้ตัดสิน
ส่วนผลจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะให้อานิสงส์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องคดีที่มีการพิพากษาไปแล้วหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า อย่าเพิ่งเอ่ยถึง พ.ต.ท.ทักษิณเลย เอาเป็นว่าตอนนี้ท่านทักษิณไม่มีตัวตน แล้วมาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยึดหลักของประชาธิปไตย เอาอย่างนั้นดีกว่า
เมื่อถามว่า ในเรื่องที่สังคมเกิดความคลางแคลง ท่านจะให้ความมั่นใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ว่าไม่ได้ทำเพื่อบุคคลคนเดียวได้อย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตนไม่ใช่คนแก้ไข แต่ตนยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยเท่าที่ตนติดตามมาโดยตลอด มีเจตนารมณ์ที่อยากให้ตัวแทนประชาชนมาเป็นคนพิจารณา หมายถึงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องร่างโดยประชาชน เจตนามีแค่นั้น ทั้งนี้ ประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงที่ชี้ขาดอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับฟังเสียงส่วนน้อย เคารพในเสียงส่วนน้อยเท่านั้นเอง แต่เสียงข้างมากคือเสียงที่ชนะขาดอยู่แล้ว นี้คือแนวทางประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าว่า เมื่อเรามอบให้ประชาชนเป็นคนพิจารณาก็ต้องให้เกียรติประชาชน