โฆษก ปชป.อัดสิบชั่วโคตร “สุรพงษ์” ก็ทดแทนเสียแผ่นดิน 4.6 ตร.กม.ไม่ได้ หลังไม่ส่งตัวแทนร่วม ICC จี้ ขรก.บัวแก้วร่วมประจานความตอแหล “ปึ้ง-นพเหล่” พร้อมแฉข้อมูลขอพาสปอร์ตใช้เอกสารใหม่หรือเก่า สับไม่ประท้วงเขมรหลังยิง ฮ.ทหารอาจเสี่ยงเสียดินแดน หลัง ผบ.เกาะกง ปัดขอโทษไทยยัน ประท้วงไม่ทำลายความสัมพันธ์
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า เป็นที่น่าเสียใจที่มีนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ที่ออกมาโกหกบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงรายวัน เอาตัวรอดไม่ตอบคำถาม ใส่ร้ายป้ายสี เบี่ยงเบนประเด็น ทำให้ประชาชนสับสนเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงรายวัน จากกรณีที่พรรคเคยทวงถามการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อวันที่ 2 ธ.ค.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทราบเรื่องการทำหนังสือเดินทาง จากกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จนถึงขณะนี้ทั้งคู่ก็ไม่กล้าตอบคำถามนี้ ซึ่งหากทั้งสองคนพูดจริง ก็แสดงว่าเอกสารที่กระทรวงการต่างประเทศ ระบุมีการขอพาสปอร์ตมาในวันที่ 25 ธ.ค.ของ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นเอกสารเท็จ ซึ่งพรรคจะได้ดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ แต่ถ้ากลับกันก็ขอให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศออกมายืนยันว่าเอกสารเป็นของจริง ก็แสดงว่าบุคคลทั้งสองได้โกหกประชาชนในเรื่องการยื่นเรื่องขอหนังสือเดินทาง ซึ่งพรรคก็จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปกับผู้เกี่ยวข้องไม่ให้ใครโกหกประชาชนอีก
“ให้เจ้าหน้าที่ออกมายืนยันว่าเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ จริงหรือไม่ หากจริง ทั้งสองคนก็โกหก หากไม่จริง พรรคก็จะมีการเรียกร้อง หรืออาจจะมีการให้ กมธ.สภาฯ ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ลายพิมพ์นิ้วมือ รูปภาพ ในการขอหนังสือเดินทาง โดยอาจใช้เอกสารเก่า เพราะไม่มีการขอหนังสือเดินทางมาจริงก็จะถือว่าผิดระเบียบ เข้าข่ายเป็นเอกสารข้อมูลเท็จ เพราะการทำพาสปอร์ตทุกครั้งต้องใช้เอกสาร ลายนิ้วมือปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้กรรมาธิการการต่างประเทศของพรรคกำลังประสานทำข้อมูลเรียกผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง”
สำหรับกรณีที่นายสุรพงษ์ระบุเหตุผลอ้างระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ในการออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่านายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ได้ใช้ระเบียบข้อ 23 ซึ่งนายสุรพงษ์ได้ยกเลิกไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการคืนสิทธิให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นการแสดงภูมิปัญญาของนายสุรพงษ์ที่พูดออกมาโดยไม่ได้ศึกษางานที่ตัวเองทำอยู่ เพราะระเบียบข้อ 21 มีไว้ระงับยับยั้งการออกหนังสือเดินทาง ไม่ใช่การเพิกถอน ดังนั้น การยกเลิกหนังสือเดินทางตามข้อ 23 ของนายกษิตเป็นเรื่องถูกต้อง และการจะคืนหรือออกหนังสือเดินทางใหม่ให้แก่บุคคลใดก็ตาม ก็ต้องอ้างระเบียบตัวอื่น ไม่ใช่ข้อ 23 จึงไม่เข้าใจว่านายสุรพงษ์พยายามเบี่ยงเบนประเด็นโดยการโกหกสร้างความสับสน และยังพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นในเรื่องอื่น
“ที่ออกมาระบุว่า บางคนเรียนหนังสือแล้วถูกรีไทร์ ผมมีลูก 2 คน ก็ได้แต่พร่ำสอนลูกว่าเรียนหนังสือจะดีหรือไม่ดี เรียนเก่งไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ขออย่างเดียวอย่าทรทรยศประเทศชาติ โดยการขายแผ่นดินที่บรรพชนต่อสู้มา โดยเฉพาะถ้าเรียนดีแล้วได้ทุนเล่าเรียนหลวง ก็อย่าตั้งหน้าตั้งตาขายชาติขายแผ่นดินแม่ ขอเท่านี้ก็พอ”
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่นายสุพรงษ์ระบุว่าได้ทำตามมติศศาลโลก จึงไม่ส่งตัวแทนฝ่ายไทยไปร่วมคณะไอซีซีที่ไปตรวจสอบความเสียหายของปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ว่า เป็นการแสดงภูมิปัญญญาและไม่รู้หน้าที่ของผู้ที่จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจากคำสั่งของมติศาลโลกที่นายสุรพงษ์อ้างนั้น จากการตรวจสอบไม่มีข้อห้ามข้อใดใน 4 ข้อที่ระบุห้ามฝ่ายไทยไม่ให้ส่งตัวแทนขึ้นไปร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดยข้อ 1 ให้สองฝ่ายถอนกำลังทหารออกพื้นที่กำหนดและไม่ให้กิจกรรมใดของทหารในพื้นที่ดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย ข้อ 2 ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องไม่ขัดขวางการขึ้นนปราสาทพระวิหาร หรือการส่งเสบียงของให้แก่ประชาชน ข้อ 3 ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจาภายใต้กรอบอาเซียน โดยเฉพาะพื้นที่ปลอดทหาร และข้อ 4 ไม่ให้มีกิจกรรมใดกระตุ้นหรือก่อปัญหาให้เกิดความรุนแรงเพิ่มเติ่ม ซึ่งมีความชัดเจนว่าทั้ง 4 ข้อไม่ได้มีการหห้ามให้ไทยส่งตัวขึ้นไปร่วมสังเกตการณ์ด้วย
“การที่นายสุรพงษ์ออกมาพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าเรายินยอมให้ฝ่ายกัมพูชาพาคณะสังเกตการณ์ขึ้นไปสำรวจพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายไทยร่วม หนำซ้ำเป้นการเปิดทางให้ใช้แผ่นดินไทยเป็นทางผ่านขึ้นไปด้วย โดยไม่มีการยื่นหนังสือประท้วงแต่อย่างใด นอกจากเป็นการทำผิดมติ ครม.ที่ระบุชัดเจนว่า หากคณะกรมการไอซีซีจะขึ้นไปสำรวจ ต้องมีตัวแทนฝ่ายไทยร่วมด้วย เพราะมติ ครม.รัฐบาลชุดที่แล้วได้ล็อกตรงนี้ไว่ เพื่อกันฝ่ายกัมพูชาจะอ้างสิทธิเพื่อนำไปต่อสู้ในศาลโลก ในการนำปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะบียนเป็นมรดกโลก แต่นายสุรพงษ์กลับเปิดช่อง ละทิ้งการทำหน้าที่ของตัวเอง โดยไม่มีการส่งตัวแทนไทยเข้าไปอ้างสิทธิในพื้นที่โดยรอบ ในการประท้วงการใช้แผ่นดินไทยเป็นทางผ่านขึ้นไปปราสาทพระวิหาร แต่กลับอ้างมั่วถึงคำสั่งศาลโลก อยากถามว่า ใช้สติปัญญาดีพอแล้วใช่หรือไม่ในการปกป้องแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ เขาสู้กันจะเป็นจะตายจนถึงศาลโลก แต่นายสุรพงษ์กลับอ้างคำสั่งศาลโลกมาเป็นตัวทำลายกระบวนการต่อสู้ของฝ่ายไทย”
นายชวนนท์กล่าวอีกว่า ในวันนี้กัมพูชายังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวศาลโลก เช่น การถอนทหาร ก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจา 2 ฝ่าย ซึ่งแสดงให้เก็นว่าการจะดำเนินการอะไรกตามกัมพูชาไม่มีสิทธิละเมิดสิทธิและอธิปไตยของไทย และประเทศไทยก็มีสิทธิเต็มที่ในการปกป้องผลประโยชน์ชาติ แต่เหตุใดนายสุพรงษ์ใช้ดุลพินิจของตัวเองทำลายประเทศไทย ถือเป็นการแสดงท่าทีคที่จะถูกตั้งคำถามได้ว่ามีเจตนาที่จะเอาใจกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ของใครหรือไม่
นอกจากนี้ การที่กัมพูชาอ้างสิทธิโดยทำหนังสือเชิญคนไทยให้เดินทางเข้ามาในแผ่นดินไทยพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ต้องถามว่าใช้สิทธิอะไร ซึ่งถ้าหากกระทรวงการต่างประเทศยอมรับหนังสือเชิญดังกล่าว ก็เท่ากับว่าไทยยอมรับว่าแผ่นดินโดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะยอมรับหนังสือเชิญ ดังนั้น การแสดงท่าทีที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้จะทำให้เพลี่ยงพล้ำ ก็ไม่รู้ว่าจะผิดพลาดซ้ำซากไปอีกมากแค่ไหน
“ผมขอยืนยันว่า นายสุรพงษ์ไม่มีคุถณสมบัติใดที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกต่อไป และขอให้ไปขอร้องผู้ที่มีบุญคุณกับตัวเองให้เอาออกจากตำแหน่งนี้ไปอยู่ที่กระทรวงอื่น เพราะคนที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศต้องมีศักดิ์ศรี มีภารกิจมากเกินกว่าที่นายสุรพงษ์จะนั่งในตำแหน่งนี้อีกแม้แต่วันเดียว อีกทั้งสิบชั่วโคตรของนายสุรพงษ์ก็ไม่สามารถทดแทนการสูญเสียการต่อสู่กรณีปราสาทพระวิหารได้ ซึ่งนายสุรพงษ์จับงานแค่ 2 เรื่อง คือ ปราสาทพระวิหาร กับพื้นที่หลักหมุดที่ 71-72 ใน จ.ตราด ก็สุ่มเสี่ยงเสียดินแดนทั้ง 2 จุด”
นายชวนนท์ยังกล่าวถึงการที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ทำหนังสือประท้วงกัมพูชา หลังทหารกัมพุชายิงเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือไทย โดยนายสุรพงษ์อ้างว่ากัมพูชาขอโทษแล้ว จึงต้องสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ว่าเป็นการแสดงถึงสติปัญญานายสุรพงษ์ เรื่องการประท้วงไม่ใช่เรื่องสร้างบรรยากาศ แต่การประท้วงเป็นกระบวนการทางการต่างประเทศที่ถูกต้อง ผบ.ทหารเกาะกง กัมพูชา ได้ทำหนังสือปฏิเสธการยอมรับผิดมาแล้วกรณีที่ยิงเฮลิคอปเตอร์ โดยเป็นการเจรจาของหน่วยเหนือเท่านั้น ซึ่งเห็นว่าเป็นความอ่อนด้อยของ รมว.การต่างประเทศ ที่ทำงานมาในการจับ 2 เรื่องก็สุ่มเสี่ยงเสียดินแดน 2 จุด คือ ปราสาทพระวิหาร และหลักหมุดที่ 71-72 จ.ตราด