“เฉลิม” รับลูก “ชูวิทย์” พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและเอาผิดนัย อดีต ผบช.น.ฐานเซ็นอนุมัติใบอนุญาตสถานบริการอาบอบนวดเอไลน่า โวยแม้ไม่ผิด กม.แต่ผิดหลักศีลธรรม เสนอกรมสรรพากร-สรรพสามิต เพิ่มภาษีบาป 50 เปอร์เซ็นต์ ชงสภายกเลิก พ.ร.บ.สถานบริการประเภท 3
วันนี้ (13 ธ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตรวจสอบอสอบสวนเพื่อให้ปรากฏความจริงและดำเนินตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องกรณี “สถานบริการอาบอบนวด เอไลน่า อินเตอร์เทนเม้นท์” เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานศึกษา ตรงข้างโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เป็นที่รู้กันอยู่ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ค้าประเวณี แต่มาเปิดอยู่หน้าโรงเรียนซึ่งมีเยาวชนอยู่จำนวนมากถือว่าไม่เหมาะสม รวมทั้งการให้ใบอนุญาตจาก พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวรจนครบาล มีเงื่อนงำน่าสงสัย โดยได้อนุมัติให้เปิดสถานที่ดังกล่าวก่อนย้ายออกจากตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน
นายชูวิทย์กล่าวว่า ที่ผ่านมาในอดีตเคยมีความขัดแย้งในสถานที่ดังกล่าวมาก่อน และผบ.ตร.ในอดีต (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ) ไม่อนุญาตและสั่งยกเลิกใบอนุญาต ทั้งสถานที่แห่งนี้ยังได้ปิดประกาศหน้าสถานบริการว่า พนักงานสาวสวยสมัครช่วงนี้รับตะกร้าฟรี ปรากฏตามภาพถ่ายที่ส่งมาด้วยลำดับที่หนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอีกเช่นกัน อันเป็นการส่อเจตนาที่จะให้มีการบริการทางเพศ
นายชูวิทย์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจย่อมทราบดีและพฤติกรรมอันน่าสงสัยคลางแคลงใจ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ให้อนุญาตที่เซ็นให้ก่อนย้ายออกจากตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจควรจะต้องทำหน้าที่ปกป้องเยาวชน มิใช่ปกป้องสถานบริการ ทั้งนี้ การเปิดให้บริการสถานบริการดังกล่าว แม้อาจจะไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ 2509 มาตร 7 (1 และ 2) เนื่องจากสถานบริการดังกล่าวอยู่ใกล้ชิดโรงเรียน หรือสถานศึกษา และอยู่ในย่านที่ประชาชนอยู่อาศัย แต่ก็ขัดศีลธรรมประเพณีอันดีงาม จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง อีกทั้งการที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการเจ้าของที่ดิน ยินยอมให้ที่ดินหลวงแก่เอกชนเช่าไปประกอบกิจการสถานบริการอาบอบนวดดังกล่าวก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเช่นกัน และผู้การรถไฟแห่งประเทศไทยให้การยืนยันว่าในประวัติการรถไฟไม่เคยยินยอมอนุญาตให้สถานบริการอาบอบนวดใช้ที่รถไฟแม้แต่รายเดียว
นายชูวิทย์กล่าวว่า จะขอต่อสู้เรื่องนี้นอกจากขัดกฎหมายแล้ว ยังขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไปสังเกตตรวจสอบ ไม่ใช่ไปพูดว่ากลัวเขาฟ้องก็เลยต้องยอมเขา ที่น่าสงสัยคือมีนายพลตำรวจเซ็นอนุมัติก่อนย้ายทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ศาลปกครองมีคำสั่งมาตั้งแต่ปี 2552 ไม่มีใครกล้าเซ็น พอคนนี้รู้ตัวว่าจะยโดนย้าย 2 วันล่วงหน้าเซ็นอีก แล้วก็ย้าย ตนอยากให้ทำการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนเคยทำแต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสนับสนุน สมมติว่าคนทำผิดกฎหมายแล้วกลับใจ แล้วต้องไปเข้าข้างท่านหรือ คำพูดอย่างนี้หมิ่นเหม่ “พนักงานสาวสวย” สังคมยอมรับอยู่แล้วว่ามันคือซ่องโสเภณีถูกกฎหมายดีๆ นี่เอง แต่ใช้ใบอนุญาตบังหน้า
“ฉะนั้น ผมอยากให้นายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นสุภาพสตรี ให้พิจารณายกเลิกสถานบริการแบบนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเปิดมาแล้ว หรือกำลังจะเปิดในอนาคตให้ยกเลิก และในฐานะที่ประเทศไทย มีสถานบริการประเภทนี้มานานเป็นที่ถูกกล่าวหาจากทั่วโลกว่าเป็นการค้ามนุษย์ ผมขอเสนอให้ยกเลิกสถานบริการประเภทนี้ทั้งหมด ผมเคยทำ ย่อมรู้ดีว่าสถานบริการประเภทนี้มีข้อผิดพลาดอะไร ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องโรคเอดส์ เพราะมีจำนวนมากแต่ข่าวไม่เคยออก ไม่เคยมีการตรวจโรค มีการค้าบริการทางเพศอย่างเสรี ทั้งๆ ที่กฎหมายไม่เคยสนับสนุน ผมทำผิดศาลยึดเงิน ไม่เคยออกมาร้องเรียน ตนยอมรับ ก็เหมือนโจรกลับใจ”
นายชูวิทย์กล่าวว่า สถานบริการมีการแพร่ขยายมากเพราะมีกำไรมาก ตนอยากให้กรมสรรพสามิตร สรรพากร ทำการตรวจสอบและเพิ่มภาษีบาปให้เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การต่อสู้ของตนเน้นหนักเรื่องขัดศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพิจารณาเรื่องนี้เป็นหลัก จึงนำจดหมายมาร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรี พร้อมเอกสารหลักฐานและซีดี
นายชูวิทย์กล่าวว่า ขอให้ปิดเลิกสถานบริการแบบนี้เพราะไม่เหมาะสม ตนทราบดี ตนทำผิด ยอมรับและสังคมให้อภัยแล้ว ถ้าตนยังทำอยู่ ขอท้าทายว่ามีที่ไหนแฉออกมาเลย อย่างไรก็ดี เห็นว่าสถานบริการประเภทนี้ควรเลิก เปิดมานานจนสังคมไทยยอมรับ ถือเป็นการค้าประเวณี ตนทำมา 10 ปี คิดว่าให้เลิกไปเลย และตนจะต่อสู้ในสภา จะขอยื่นแก้ไข พ.ร.บ.สถานบริการ ให้ยกเลิกสถานบริการประเภท 3 สถานบริการอาบอบนวด ซึ่งจริงๆ ไม่มีอาบอบนวด แต่มีการค้าประเวณีที่รู้ๆ กันโดยใช้ใบอนุญาตบังหน้าแล้วไปเปิดหน้าโรงเรียน อย่างนี้ยิ่งท้าทายกับสังคมและการยอมรับในอนาคต แต่ไปเปิดหน้าวัด ข้างวัดก็ได้ เพราะเปิดตรงนี้ได้
จากนั้น เวลา 13.00 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงมารับหนังสือร้องเรียนจากนายชูวิทย์ ด้วยตนเองที่บริเวณห้องรับรอง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ โดย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ขอขอบคุณทางหัวหน้าพรรครักประเทศไทยที่ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวนี้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายได้ใช้วิธีการเหล่านี้หากินมานานแล้ว โดยหลักการสถานบริการอาบอบนวดควรจะลดลงไม่ใช่เพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้มีความจำเป็นเลย หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่นายชูวิทย์ ระบุนั้น ก็คงต้องดำเนินให้เป็นไปตามกฏหมาย โดยตนจะจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาและหากพบว่ามีการกระทำผิดก็จะตั้งกรรมการสอบทางวินัยและลงโทษตามกระบวนการข้อกฏหมายและข้อบังคับ ดังนั้น ขอให้นายชูวิทย์สบายใจได้เพราะเรื่องนี้ใครก็มาวิ่งเต้นไม่ได้ ความถูกต้องจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราจะดำเนินการมากน้อยอย่างไร
“การจะมาอ้างว่าไม่ผิดกฎหมาย แล้วมีความจำเป็นอะไรต้องไปเปิดอาบอบนวดเพิ่ม อีกทั้งยังอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนด้วย การที่ผมมาพูดเช่นนี้ พวกที่ไม่ชอบหน้าผมก็บอกว่าผมกับนายชูวิทย์รู้กัน รู้กันเป็นเรื่องดี ช่วยกันกำจัดสิ่งชั่ว หากนายชูวิทย์ไม่เปิดคลิป พวกบ่อนมหากาฬก็ยังอยู่ ซึ่งบ่อนมหากาฬจบแล้ว แล้วนี่คิดอย่างไรกันถึงไปเซ็นเปิดอาบอบนวด ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความถูกต้องทางศีลธรรมและจริยธรรม เลอะเทอะมานาน ตำรวจบางคนตัวร้ายหากินจนมั่งมี ไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม” รองนายกฯ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำในช่วงท้ายว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดเป็นผู้อนุมัติคำสั่ง ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้นายชูวิทย์เป็นผู้ระบุจะดีกว่า จากนั้นนายชูวิทย์ได้กล่าวตอบกลับว่า พ.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบช.น.