หมดน้ำท่วมกลับคืนสู่สภาวะปกติ การเมืองช่วงปลายปีคงเริ่มกลับมาเข้มข้นอีกครั้งโดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฏรสมัยนิติบัญญัติในวันพุธที่ 21 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะปะทะกันในเวทีสภาฯรุนแรงแน่
การเมืองในสภาฯก็ว่ากันไป แต่การเมืองในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามเดือนกว่าที่ผ่านมาสำหรับรัฐบาลเพื่อไทย เห็นได้ชัดว่าต้องปรับทีมกันอีกหลายตำแหน่ง เพราะจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซึ่งทำให้รัฐบาลถูกสวดไปทุกด้าน
ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญาข้อหาทุจริตผู้นำรัฐบาลตัวจริงกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้นำรัฐบาลหุ่นเชิด ได้เห็นแล้วว่ารัฐมนตรีหลายคนไม่เอาอ่าวจมหายไปกับน้ำ จึงมีโอกาสจะถูกทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ประเมินผลงานว่าจะให้อยู่ต่อหรือปรับเปลี่ยนออกไปพักข้างสนาม
ตอนนี้ยังเดาใจทักษิณได้ยากว่า จะลงมือชำแหละครม.ช่วงไหน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการทำงานของรัฐบาลเริ่มมีเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีในกระทรวงเดียวกัน การทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐมนตรีว่าการกับรัฐมนตรีช่วย แต่เมื่อมีข่าวเกิดขึ้น ตัวรัฐมนตรีที่ตกเป็นข่าวก็ไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามบานปลาย จนถูกหยิบเป็นสาเหตุที่ถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการปรับครม. รัฐมนตรีเหล่านี้ก็จะรีบปรับแก้ภาพการงัดข้อกันในทันที บางกรณีก็เห็นได้ว่า ทักษิณลงมาคลุกวงในเป็นตัวกลางแก้ปัญหาเองเลย
หากดูรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีข่าวว่ามีปัญหาการทำงานกับเพื่อนร่วมทีมมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 2 ชื่อนี้
คนแรก “บิ๊กโอ๋”พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณฑัต รมว.คมนาคม
คนที่สอง วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ
สองคนนี้ ทุกคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย รู้ดีว่าทั้งสองคนมีจุดแข็งตรงที่มีบิ๊กแบ็กหรือกองหนุนอยู่ข้างหลังที่ไม่ธรรมดาคอยค้ำเก้าอี้รัฐมนตรีให้มั่นคง
อย่างรายของพล.อ.อ.สุกำพล เรื่องข่าวปัญหาการทำงานในกระทรวงถือว่าไม่ธรรมดา พูดประสานักเลงก็คือโดนรัฐมนตรีช่วยฯ-ลูกน้องหน้าห้องพวกเลขานุการ-ที่ปรึกษารัฐมนตรีของตัวเองเอามีดเสียบหลังมาแล้ว
คือโดนทั้งพล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม-ชาญยุทธ เองตระกูล เลขานุการรมว.คมนาคม บินไปฟ้องทักษิณ ชินวัตรถึงต่างประเทศ ทั้งเรื่องการทำงานและบุคลิกการทำงานส่วนตัวว่าทำงานด้วยไม่ได้เพราะพล.อ.อ.สุกำพลเล่นบริหารงานในกระทรวงแบบรวบอำนาจ แทรกแซงการทำงานคนอื่นโดยเฉพาะการตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจหลายแห่งในสังกัดคมนาคมที่พล.อ.อ.สุกำพลทำเองทั้งหมด
ถึงขั้นฟ้องว่าขนาดรัฐมนตรี- ที่ปรึกษา-เลขานุการรัฐมนตรี จะเข้าพบพล.อ.อ.สุกำพล เพื่อคุยเรื่องงานยังต้องแจ้งทีมงานหน้าห้องว่าจะคุยเรื่องอะไร จะเดินเข้าห้องไปหาเลยแบบคนอยู่รัฐบาลเดียวกันพรรคเดียวกันก็ไม่ได้ ต้องทำตามระบบให้หน้าห้องตรวจสอบก่อนถึงจะอนุมัติให้กดรหัสผ่านประตูเข้าห้องทำงานไปได้ ทุกเรื่องของ “บิ๊กโอ๋”ในกระทรวงคมนาคมถูกถ่ายทอดถึงหูทักษิณเป็นฉากๆ
เจอเพื่อนร่วมงานและลูกน้องขี้ฟ้องแบบนี้ อดีตลูกทัพฟ้าเก่า อย่างพล.อ.อ.สุกำพล คงรู้แล้วว่าเป็นนักการเมืองกับเป็นทหารที่มักชอบท่องประโยค “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน”ต่างกันอย่างไร
ส่วนราย “เสี่ยแมว-วรวัจน์”ก็หนักพอกัน มีปัญหาขัดแย้งกับสองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการคือ นางบุญรื่น ศรีธเรศ และนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล มาตลอดหลายเดือนกับเรื่องการแบ่งงานในกระทรวงศึกษาธิการ
เหตุเพราะเสมา 1เล่นเลียนแบบลูกพี่ทักษิณที่ชอบพูดว่าผู้ชนะคือผู้คิดเกมใหม่ เสมา 1 เลยจัดการแบ่งงานแบบไม่เคยมีใครทำมาก่อนคือใช้วิธีแบ่งงานตามภาค -พื้นที่จังหวัด ไม่ใช่แบ่งแบบให้รับผิดชอบหน่วยงานรัฐในสังกัดเป็นตัวตั้ง แถมไม่พอยังดึงงานสำคัญอย่างเรื่องการบริหารงานบุคคลและงบประมาณ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงที่ได้งบประมาณมากเป็นอันดับต้นๆอยู่แล้วไว้ดูแลเองคนเดียว
ทั้งป้าบุญรื่นและสุรพงษ์ โวยวายแล้วหลายรอบทั้งผ่านสื่อมวลชนและฟ้องยิ่งลักษณ์แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
แม้วรวัจน์และพล.อ.อ.สุกำพล จะมีข่าวเรื่องมีปัญหาการทำงานกับเพื่อนร่วมทีมมาตลอดสามเดือนกว่า แต่ทั้ง “เสี่ยแมว-บิ๊กโอ๋”กลับไม่มีชื่อติดโผตัวเต็งที่อาจจะถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งหากมีการปรับครม.
ที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่อะไร เพราะทั้งสองคนไม่ธรรมดาอยู่แล้วในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย
รายของ“บิ๊กโอ๋”พล.อ.อ.สุกำพล แบ็กอัพแน่นปึ๊กยิ่งกว่าปึ๊ก เรียกได้ว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับคนตระกูลชินวัตรเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทักษิณ ชินวัตร ที่กับบิ๊กโอ๋แล้วถือว่าเป็นเพื่อนสนิทมากที่สุดคนหนึ่งในกลุ่มเตรียม 10 โดยเฉพาะในบรรดาเตรียม 10 สายทัพฟ้ารู้กันทั้งกองทัพอากาศว่า ทักษิณแนบแน่นกับบิ๊กโอ๋มากที่สุด
ไม่งั้นสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีคงไม่วางตัวให้เป็นผบ.ทอ.แต่มาโดนปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 เสียก่อน กับคนอื่นๆ ในเครือข่ายตระกูลชินวัตร บิ๊กโอ๋ก็สนิทหมด ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่บิ๊กโอ๋ก็รู้จักกันดีมาหลายสิบปี จนเรียกได้ว่าเป็นคนกันเองของบ้านจันทร์ส่องหล้าก็ว่าได้ รวมถึงยิ่งลักษณ์ ที่ก็รู้จักตั้งแต่สมัยนั่งเป็นผู้บริหารกลุ่มชินคอร์ปเช่นเดียวกับพี่น้องของทักษิณอีกหลายคน
ยิ่งมีข่าวเม้าท์กันก่อนหน้านี้ว่าพล.อ.อ.สุกำพล กำลังจะเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับตระกูล ชินวัตร ถึงขั้นสื่อบางกระแสบอกชัดๆไปเลยว่าไม่แน่อาจได้เป็นพ่อตาของพานทองแท้ ชินวัตร ผนวกกับที่พล.อ.อ.สุกำพลได้เป็นรมว.คมนาคม ไม่ใช่เพราะไปวิ่งขอตำแหน่งแต่เพราะทักษิณส่งเทียบเชิญเอง ทำให้พล.อ.อ.สุกำพลไม่จำเป็นต้องแคร์ใครอยู่แล้ว
ส่วนวรวัจน์ก็ปึ๊กพอกัน เพราะตอนนี้ขึ้นชั้นมาเป็นขุนพลตัวหลักภาคเหนือให้พรรคเพื่อไทย หลังได้แรงหนุนจากเจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวยิ่งลักษณ์ เก้าอี้ เสมา 1 ที่นั่งอยู่ไม่ใช่ได้มาแบบทักษิณไม่รู้จะให้ใครดีเลยจับวรวัจน์มานั่ง แต่กลุ่มภาคเหนือ-สายเจ๊แดงล็อกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า เสมา 1 ต้องเป็นวรวัจน์เท่านั้น
อีกทั้งตัววรวัจน์เองอาจมองว่าตัวสุรพงษ์และนางบุญรื่น ทั้งสองคนได้เป็นรัฐมนตรีเพราะโควต้าจังหวัดและภาค คือสุรพงษ์มาในโควต้าภาคกลาง-ปทุมธานี ส่วนบุญรื่นโควต้าอีสาน
หากรัฐบาลทำงานครบ 6 เดือนในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีการปรับครม.ใหญ่เกิดขึ้นก็เป็นไปได้ที่ทั้งสุรพงษ์และนางบุญรื่นมีสิทธิ์โดนปรับแน่นอนเพื่อให้ส.ส.คนอื่นในภาคเดียวกันได้สลับขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีบ้างเพราะสุรพงษ์และป้าบุญรื่นยังถือว่าไม่ใช่ระดับแกนนำภาค
อาจเป็นด้วยเหตุนี้ก็เป็นไปได้ ที่ทำให้ “วรวัจน์”เองไม่สนใจคำโวยวายเรื่องการแบ่งงานจาก 2 รัฐมนตรีกระทรวงเดียวกัน แม้วรวัจน์จะยอมปรับเปลี่ยนแก้ไขการแบ่งงานและหน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ให้กับสุรพงษ์และป้าบุญรื่นไปแล้วเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตัวสุรพงษ์ก็ยังแสดงอาการไม่พอใจอยู่ดี
กระนั้น เชื่อว่าหลังจากนี้ 3 รมต.กระทรวงศึกษาธิการ “วรวัจน์-สุรพงษ์-บุญรื่น”คงมีการจูนคลื่นให้ตรงกันอีกครั้ง หลังมีข่าวว่าตัวทักษิณกับยิ่งลักษณ์ ไม่ประสงค์ให้ความขัดแย้งของทั้งสามคนที่เป็นรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยด้วยกันทั้งหมด มีอยู่ต่อไป หลังที่ปีนเกลียวมาได้หลายเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่จบเสียที
เช่นเดียวกันกับ “สุกำพล”ก็คงได้สัญญาณตรงมาจากเพื่อนทักษิณว่า ให้แก้ปัญหาส่วนนี้ให้จบได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการสร้างภาพกลบปัญหาความขัดแย้งในกระทรวงคมนาคม ด้วยการที่พล.อ.อ.สุกำพลเปิดห้องร่วมกินข้าวและแถลงข่าวจูบปากกันระหว่างพล.อ.อ.สุกำพลกับ 2 รมช.คมนาคมที่ซดเกาเหลากันมาก่อนหน้านี้ ทั้งพล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลกและกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ เมื่อ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ความเป็นไปได้ในการปรับครม.จากยิ่งลักษณ์ 1 เป็นยิ่งลักษณ์ 2 ทุกสายในเพื่อไทยพูดตรงกันยิ่งกว่านัดไว้คือ เป็นอำนาจของนางสาวยิ่งลักษณ์ (ที่จะรับคำสั่งจากทักษิณ) หากจะรู้ล่วงหน้าก็คงไม่เกิน 48 ชั่วโมง สัญญาณนี้จะชัดว่าจะเอาอย่างไรก็ช่วงปลายธันวาคมปี 54
ภายใต้ข่าวหลายกระแสจากพรรคเพื่อไทยที่วิเคราะห์ตรงกันว่า หากจะปรับครม.เงื่อนเวลาดีที่สุดยังคงเป็นกุมภาพันธ์ที่รัฐบาลทำงานครบ 6 เดือนอยู่
เว้นแต่ถ้าทักษิณต้องการรีเฟซให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์หลังน้ำลด มกราคมก็อาจเขย่าแล้ว