ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าในความเป็นจริงจะเป็นแบบไหนก็ตาม แต่กลายเป็นว่าเวลานี้กำลังกลายเป็นกระแส “เร่งเร้า” ให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระแสที่ว่านั้นก็มีทั้งภายในรัฐบาล ภายในพรรคไทยรักไทย และเสียงเรียกร้องจากสังคมภายนอก ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ย่อมมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป
แต่ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใดก็ตามมันก็ส่งผลให้บรรยากาศตึงเครียด รวมไปถึงอาจเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายตามมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี สาเหตุหลักที่ต้องทำให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี เป็นเพราะผลงานห่วยแตกของรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากเพิ่งบริหารบ้านเมืองเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อต้องมาเจอกับภาวะน้ำท่วมใหญ่จนไปไม่เป็น ทำให้ “เปลือยตัวตน” ออกมาให้เห็นจนล่อนจ้อน ว่าที่แท้เธอ “กลวง” ไปหมดทุกอย่าง
สิ่งที่ต้องจำนน หันไปโทษคนอื่นไม่ได้แล้ว เนื่องจากตัวเองมีเสียงข้างมากเด็ดขาดมีอำนาจอยู่ในมือ และที่ผ่านมาก็มีการกระชับอำนาจแต่งตั้งญาติพี่น้องคนของตัวเองที่เคยรับใช้ใกล้ชิดเข้ามาดูแลทั้งในกระทรวงสำคัญ รวมไปถึงข้าราชการระดับสูงเรียกได้ว่าเมื่อฤดูโยกย้ายใหญ่ที่ผ่านมาก็ได้ใช้อำนาจกันเต็มที่ไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อพิจารณาถึงผลงานกลับใช้ไม่ได้ น่าผิดหวัง พวกกองเชียร์ที่เคยเสียงดัง เวลานี้หลายคนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัวกันแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าผลงานของเธอในฐานะผู้นำจะออกมาห่วยแตกเพียงใด แต่ในฐานะที่เปรียบเหมือน “น้องสาวเจ้าของบริษัท” ก็ยังต้องอยู่อย่างมั่นคงต่อไป อย่างน้อยก็ต้องอีกระยะหนึ่งจนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง
เมื่อน้องสาวเจ้าของบริษัทยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนตัว มันก็ต้องหันมาที่พวกลิ่วล้อรอบข้าง รวมไปถึงอีกพวกหนึ่งที่กำลังซอยเท้ารอจังหวะเข้ามาเสียบแทนในลักษณะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเข้ามาเชยชมเก้าอี้รัฐมนตรีกันบ้าง หรือบางคนที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่แล้วแต่ยังไม่ค่อยแฮปปี้จะขอเลื่อนชั้นไปนั่งในตำแหน่งใหม่ที่คิดว่าตัวเองถนัดและมีอำนาจได้มากกว่านี้ ซึ่งประเด็นน่ารำคาญดังกล่าวนี่แหละที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมา
เพราะเป็นที่รับรู้กันแล้วทั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยนั้น มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากการชี้นิ้วสั่งการของเขาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะน้องสาวเจ้าของบริษัทไม่มีการเปลี่ยนตัวแน่ ก็ต้องหันไปเปลี่ยนตัวคนอื่น ซึ่งเหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อลดความกดดันที่กำลังพุ่งเป้ามาที่นายกรัฐมนตรีให้เบนออกไปทางอื่น ความหมายก็คือหากปรับคณะรัฐมนตรีก็เพื่อเบนความสนใจนั่นเอง
อย่างไรก็ดี เมื่อแยกบรรดารัฐมนตรีออกมาแต่ละคนว่าสมควรจะต้องปรับใครออกไปบ้าง หากพิจารณาในภาพรวมก็ต้องบอกว่าสมควรออกไปทั้งหมดนั่นแหละ เพราะไร้คุณภาพเหมือนกันหมด ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว บางคนแทบไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่าในประเทศไทยยุคปัจจุบันยังมีรัฐมนตรีชื่อนี้ร่วมอยู่ในรัฐบาล เพราะไม่เคยได้ยินชื่อ ขณะที่บางคนแม้ว่าตั้งใจให้เป็นข่าวทุกวัน พูดได้ทุกเรื่องคนรู้จักเป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ใช่ความหมายที่ว่ามีผลงานแต่อย่างใดไม่
ดังนั้น ถ้าให้ลองเค้นสมองคิดดูว่ามีใครบ้างที่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน หรือหากจะเถียงว่าเวลาแค่ สองสามเดือนจะเอาผลงานอะไร ก็ไม่ว่ากันขอให้เป็นประเภท “มีแนวโน้มจะมีผลงาน” ก็ได้ แต่มันยังมองไม่เห็นจริงๆ
กรณีเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมกลับกลายเป็นว่า มองอีกมุมหนึ่งกลับได้สร้างคุณูปการไม่น้อย เพราะสามารถใช้เป็นทางลัด เพื่อสำรวจตัวตนและสติปัญญาของพวกนักการเมือง “สร้างภาพ” หากินด้วยการหลอกต้มชาวบ้านมานานได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าไม่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเสียก่อนป่านนี้หลายคนก็คงไม่ตาสว่างอย่างทุกวันนี้
สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีหลักๆ ที่สังคมจับตามองว่าสมควรถีบออกไปให้พ้นก็ต้องเริ่มตั้งแต่ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ที่บริหารงานไม่ต่างจากข้าราชการประจำยุคโบราณ บางครั้งคงลืมไปว่ายังเป็นข้าราชการต้องตามรับใช้นักการเมือง เพราะในตำแหน่งรองนายกฯอันดับหนึ่งและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่มีอะไรให้น่าจดจำได้เลย
คนต่อมาก็คือ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่เป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เคยไปกอดคอร้องให้กับนักลงทุนต่างชาติเมื่อครั้งไปบัญชาการป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ล้มเหลว ขณะที่งานในหน้าที่หลักในเรื่องค่าครองชีพก็พุ่งพรวดพราดไม่เห็นกระชากลงมาได้ตามราคาคุยได้เลย การดูแลเรื่องจำนำข้าวก็ล้มเหลว แม้ว่าอาจจะแก้ตัวว่าในเมื่อน้ำท่วมหมดไม่มีข้าวจำนำแล้วให้ทำไง แต่เท่าที่ติดตามข่าวกลับเริ่มมีเรื่องการสวมสิทธิ์นำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นี่ถือว่าเป็นข่าวได้ทุกวัน แต่รับรองว่าคนละเรื่องกับผลงานที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้านทั่วไป มีเพียงทำหน้าที่ผลักดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ พี่เมียของ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และต่อมาก็มีการแต่งตั้งให้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง “หลานเขย” ของ พจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้สำเร็จสมใจ ต่อมาก็มีส่วนร่วมในความพยายามสอดไส้พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ ทักษิณ ได้ประโยชน์ แม้จะไม่สำเร็จแต่คาดหวังว่าจะได้ใจไม่มากก็น้อย เพราะหลังจากนั้นก็ยังประกาศว่าทำทุกทางให้เขาพ้นผิดให้ได้ โดยจะเคลื่อนไหวให้มีการเสนอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในเร็วๆนี้ พร้อมๆกับเสนอตรรกะพิลึกใช้เสียงข้างมากพิสูจน์ความถูกผิด
คนอื่นๆ ที่น่าสนใจตอนนี้ก็น่าจะเป็น สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังประกาศว่าจะคืนพาสปอร์ตธรรมดา (สีน้ำตาล) ให้กับ ทักษิณ อ้างว่าเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ โดยไม่คำนึงว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่ และทำได้หรือไม่ แต่มั่นใจว่าต้องเป็นผลงาน “เข้าตา” นายแน่นอน และต้องทำให้สมกับความไว้วางใจให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกที่ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษ
ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ก่อนหน้านี้ออกตัวแรงแต่ระยะหลังเริ่มแผ่วลงไป ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมาเสียศูนย์เละเทะ เมื่อตอนมานั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)
นอกจากนี้ยังมีข่าวความขัดแย้ง ขัดขากันเองภายในกระทรวงคมนาคมระหว่างรัฐมนตรีว่าการคือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต กับรัฐมนตรีช่วยว่าการทั้งสองคน คือ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก และ กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ในลักษณะไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน
นั่นเป็นรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายและมีข่าวว่ากำลังจะถูกปรับพ้นเก้าอี้และเท่าที่นึกชื่อออก แต่ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่มีความพยายามที่จะฉวยโอกาสเพื่อสร้างกระแสความโดดเด่นให้กับตัวเองเพื่อหวังได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในตำแหน่งใหม่ แต่ถึงอย่างไรความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นการป้องกันให้ตัวเอง ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นนับจากนี้ไปคาดว่าจะหนักหน่วงมากขึ้น เพื่อให้เข้าตา ทักษิณ เพื่อเป็นหลักประกัน แต่ในทางตรงกันข้าม การแย่งกันเอาใจหรือแย่งกันเลียดังกล่าวอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งและวุ่นวายในบ้านเมืองตามมาอีก แม้จะทำให้ทักษิณพอใจ แต่ชาวบ้านเดือดดาลอย่างแน่นอน!!