โฆษก ปชป.ย้ำกฎเหล็กเพิกถอนพาสปอร์ต “นช.แม้ว” เหตุเป็นภัยต่อความมั่นคง เตือน “รมว.บัวแก้ว” รับใช้นายใหญ่ใกล้หมดอนาคตการเมือง ขู่ถูกเขี่ยตกจากเก้าอี้ยังต้องรับโทษตามกฎหมาย จี้ “ปู” ขอโทษประชาชนเหตุขึ้นเฟซบุ๊กผิดรัชกาล พร้อมแจงตัวเลขงบที่อ้างไปช่วยเหยื่อน้ำท่วม เตือนจะถูกระแวงเหมือนพี่ชาย
วันนี้ (6 ธ.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศจะคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีโทษจำคุกอยู่ในต่างประเทศว่า ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศข้อ 23 (7) ระบุชัดว่า เมื่อพิจารณาเห็นว่าหากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางคงอยู่ในประเทศต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศไทยหรือต่างประเทศได้ ก็ให้พิจารณาเพิกถอนได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศในยุคของนายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ได้ใช้เป็นเหตุผลในการเพิกถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นเดินทางไปมาหลายประเทศ มีการโฟนอิน วิดีโอลิงก์ ปลุกปั่นยุยงมวลชนออกมาชุมนุมการเมือง ดังนั้น เมื่อการเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยต่อความมั่นคงจึงเพิกถอนหนังสือเดินทาง ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อกฎหมาย
ส่วนที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ พยายามอ้างว่าเมื่ออำนาจเป็นของ รมว.ต่างประเทศในการเพิกถอนหนังสือเดินทางได้ ก็มีสิทธิคืนหนังสือเดินทางได้เช่นเดียวกันนั้น นายชวนนท์กล่าวว่า ตนขอทำความเข้าใจว่า กรณีการเพิกถอนและการคืนหนังสือเดินทาง มีเงื่อนไขต่างกัน หากเป็นบุคคลที่มีหมายจับในประเทศไทยและจะเดินทางออกนอกประเทศจะไม่ได้รับการอนุญาต เป็นเหตุผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากประเทศเป็นครั้งสุดท้ายโดยมีการขออนุญาตศาล เมื่อศาลอนุญาต พ.ต.ท.ทักษิณก็หนีจนถึงทุกวันนี้ ส่วนการถอนพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดขึ้นหลังการชุมนุม ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่มีพาสปอร์ตไทย เมื่อจะกลับมาทำพาสปอร์ตใหม่จึงไม่ใช่ดุลพินิจของ รมว.ต่างประเทศ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีหมายจับอยู่ ซึ่งจะต้องมีบัญชีดำอยู่ที่กงสุลเหมือนกันทุกคดี ไม่ใช่เฉพาะกรณี พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น และยังต้องมีหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ว่าบุคคลนี้หนีหมายจับของทางราชการไม่มีสิทธิได้รับหนังสือเดินทาง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงตามกฎหมายทั่วไป แต่นายสุรพงษ์พยายามบิดเบือนว่าเป็นอำนาจของ รมว.ต่างประเทศ ทั้งที่มีองค์ประกอยอื่นอยู่มากมาย มิเช่นนั้นคนที่หนีหมายจับพาสปอร์ตหมดอายุก็สามารถเดินทางไปตามกระทรวงหรือสถานทูตแต่ละประเทศได้ตลอด ซึ่งเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่น่าเสียใจ คือ รัฐบาลพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พยายามพูดว่าทำไมฝ่ายค้านหมกมุ่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แค่หนังสือเดินทางเล่มเดียว ซึ่งไม่ใช่ความจริง แต่เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวอยู่เหนือกฎหมายคนเดียว ขณะที่นักโทษคนอื่น เช่น กำนันเป๊าะ หรือนายวัฒนา อัศวเหม ถ้าเจอตนอยากให้นายสุรพงษ์ไปสอบถามบุคคลทั้งสองว่าขอคืนพาสปอร์ตได้หรือไม่
“ผมขอย้ำว่า การถอนพาสปอร์ตกับการคืนพาสปอร์ตเป็นคนละเรื่องกัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีสิทธิ์รับพาสปอร์ตได้ทั้งที่ความผิดยังคาอยู่ หรือถ้านายสุรพงษ์ พยายามจะอ้างเรื่องระเบียบก็อยากให้ไปดูระเบียบข้อ 21 ของกระทรวงการต่างประเทศปี 48 พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธยับยั้งการขอหรือแก้ไขหนังสือเดินทางกรณี (2) เมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องซึ่งกำลังได้รับโทษในคดีอาญาหรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาออกหมายจับไว้แล้ว ศาล หรือพนักงานฝ่ายปกครอง เห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ หรือ (3) เมื่อผู้ร้อง เป็นผู้ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ก็เข้ากับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น หรือจะ (4) เมื่อผู้ร้องกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการ ซึ่งขัดกับความสงบเรียบร้อย หรือผิดศีลธรรมอันดีงาม ตนอยากถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเอาข้อไหนดี เพราะล้วนแต่เข้าข่ายไม่สามารถออกพาสปอร์ตได้ทั้งสิ้น”
ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์พยายามพูดแก้เกี้ยวว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นการเมืองต้องการดิสเครดิตนั้นตนยืนยันว่าไม่ใช่ รัฐบาลควรอ่านกฎหมายให้เป็นเหมือน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เพราะกฎหมายชัดเจนไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ที่น่าเสียใจคือ พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นผู้ที่มีสองมาตรฐานเหนือประชาชน ตนอยากย้ำให้คนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้อย่างมีสติ ก็จะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องมีมาตรฐานเหนือคนอื่นเสมอ ตั้งแต่เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ การนิรโทษกรรม มาจนถึงการได้รับหนังสือเดินทางคืนโดยขัดกับหลักกฎหมายชัดเจน แต่เมื่อมีผู้ติดตามตรวจสอบทั้งฝ่ายค้นและประชาชนก็พยายามบิดเบือนว่าพวกเราหมกมุ่นกับปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณ
“ความจริงไม่มีใครอยากสนใจถ้า พ.ต.ท.ทักษิณปฏิบัติตัวแบบประชาชนคนอื่นทั่วไป เมื่อมีความผิดก็ต่อสู้ตามกฎหมาย รับโทษตามกฎหมาย ใช้กฎหมายฉบับเดียวกับประชาชน ไม่ใช่ทำตัวเหนือกฎหมายคนเดียวอย่างนี้ และนายสุรพงษ์ที่ท้าให้เราถอดถอนนั้น นายสุรพงษ์ก็ทราบว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขอฝากไว้ว่าอย่านึกว่าทำอะไรไปแล้วไม่มีใครรู้ ไม่มีใครทราบจะมาแก้ตัวทีหลังไม่ได้ ผมเตือนว่านายสุรพงษ์กำลังทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตการเมืองและอาจจะเอาคืนไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นผมจะไม่ท้านายสุรพงษ์ แต่ขอให้แน่วแน่ในสิ่งที่พูด อย่าชักเข้าชักออก หรือสับขาหลอกเหมือนกรณีพระราชทานอภัยโทษ ขอให้เดินให้สุด เล่นละครให้สมบทบาท เล่นให้จบนะครับเรื่องนี้ เพราะไม่มีความลับในโลกว่าคุณไปทำอะไรไว้” นายชวนนท์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายสุรพงษ์ถูกปรับออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ การยื่นถอดถอนจะมีผลหรือไม่ นายชวนนท์กล่าวว่า จะมีผลผูกพันกับนายสุรพงษ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าความผิดสำเร็จหรือยัง ซึ่งนายสุรพงษ์ทราบดีว่าขั้นตอนอยู่ที่ไหน และกำลังเล่นอยู่กับอะไร ทั้งนี้ หากความผิดสมบูรณ์แล้วก็ยังต้องยื่นถอดถอนไม่ว่าจะไปอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม
นายชวนนท์กล่าวถึงความพยายามปลุกระดมมวลชนมาสนับสนุนให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย เป็นความพยายามบิดเบือนที่น่าละอายของรัฐบาล หากมีการปลุกระดมมวลชนโดยอ้างว่า พ.ต.ทงทักษิณโดนกลั่นแกล้ง ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามทำตัวละเมิดกฎหมายมาโดยตลอด เมื่อมีการตรวจสอบก็ไปปลุกระดมมวลชนมาช่วยตัวเองอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เหนือกฎหมาย พร้อมกับย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีสิทธิได้รับหนังสือเดินทางคืน ทั้งนี้ ตนอยากให้ประชาชนติดตามข่าวนี้อย่างใช้วิจารณญาณและติดตามดูข้อกฎหมาย อย่าตกเป็นเครื่องมือของแกนนำในการปลุกปั่นมวลชนมากดดันสังคมไทย
นายชวนนท์กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนไม่สบายใจต่อการกระทำของรัฐบาลในช่วงเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรณีมีการลงพระบรมฉายาลักษณ์ผิดรัชกาล ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตนจะไม่กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้งใจก่อให้เกิดบางประเด็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดความไม่สบายใจให้ประชาชนจำนวนมากที่เกิดความสงสัยเคลือบแคลง และมีคำถามที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ การปล่อยให้ลงรูปผิดเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมง หากเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นความผิดพลาดจริง ตนคิดว่านายกฯ ต้องออกมาชี้แจงต่อประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่โยนให้ทีมงานหรือเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาแก้ไข จึงขอเรียกร้องไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญและกระทบต่อจิตใจพี่น้องประชาชนอย่างมาก ถ้าจำเป็นต้องออกมาขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ประชาชนได้เข้าใจ จะอ้างว่าเฟซบุ๊กมีทีมงานดูแลไม่ได้ เพราะหลายครั้งข้อความที่โพสต์เป็นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง จึงไม่แน่ใจว่าตกลงคนที่อยู่ในเฟซบุ๊คเป็นใครกันแน่ หรือว่าตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือนายกฯ ในโลกออนไลน์ไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัวจริง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นายกฯ ควรออกมาทำความกระจ่างให้มากกว่านี้ เช่นเดียวกับการยกเลิกการจัดแสงสีเสียงสื่อผสม การฉายภาพยนตร์พาโนรามาบริเวณกำแพงรั้วพระบรมมหาราชวัง รัฐบาลชี้แจงว่ามีการประสานกับสำนักพระราชวังแล้วเพื่อลดงบประมาณในส่วนที่คิดว่าลดได้ เพื่อนำงบประมาณไปช่วยประชาชนที่ประสบอุทกภัย แต่บุคคลต่างๆ ที่ออกมาพูด โดยเฉพาะนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย ที่อ้างว่าไม่อยากแสดงงานรื่นเริง แต่รองโฆษกรัฐบาลอ้างว่าเป็นกำหนดการเดิมมาตั้งแต่ต้น แต่ละคนพูดไม่ตรงกัน และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้กล่าวหาว่ารัฐบาลมีเจตนาแอบแฝง แต่เรื่องนี้ทำให้ประชาชนไม่สบายใจ เพราะเป็นความปีติของประชาชนในโอกาสมหามงคล 7 รอบของพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ประชาชนเฝ้ารอที่จะเฉลิมฉลองร่วมกันทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกลับตัดทอนในส่วนที่เป็นพระราชกรณียกิจและการยกย่องคุณูปการของพระมหากษัตริย์ท่านต้องมีคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจและไม่มีอะไรแอบแฝงรัฐบาลต้องแสดงเรื่องงบประมาณให้ชัดเจน เพราะมีการขออนุมัติงบจาก ครม.มา 117 ล้านบาทต้องชี้แจงให้เห็นว่าสัญญาเขียนไว้อย่างไร ถ้ามีการปรับลดวันแสดงแล้ว สามารถลดการจ่ายเงินให้กับบริษทเอกชนได้จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งตามหลักปฏิบัติทั่วไปไม่มี ไม่ว่าจะทำสัญญากี่วันถ้าแสดงวันเดียวก็ต้องจ่ายเงินตามที่มีการทำสัญญาไว้ สมมติว่าได้เงินคืนจะเป็นไปได้หรือที่จะนำเงินไปใช้ช่วยผู้ประสบภัยทันที รัฐบาลต้องชี้แจงตัวเลขว่าเงินจำนวนนี้มีเท่าไหร่นำไปใช้ที่ไหน ถ้าชี้แจงได้เรื่องนี้ก็คงไม่มีปัญหา ประชาชนคงรับได้ แต่ถ้าไม่มีการชี้แจง การที่รัฐบาลปรับลดงบประมาณในส่วนการเทิดทูนพระมหากษัตริย์ออกไปแต่คงกิจกรรมที่มีศิลปินแกรมมี่โชว์ที่สนามหลวงอยู่จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ เพราะรัฐบาลควรคำนึงถึงความสำคัญของงานและการเฉลิมฉลองควรเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะเท่าที่ทราบเงินที่เบิกจ่ายไปแล้วไม่ได้มีการปรับลดแต่อย่างใด และดูเหมือนกับจะมีการตัดสินใจแบบฉุกละหุก เหตุผลที่ให้ต่อสาธารณะในการชี้แจงก็ไม่ตรงกัน ดังนั้น ตนไม่อยากให้ประเด็นเฟซบุ๊กและการงดกิจกรรมข้างต้นทำร้ายจิตใจประชาชน
“ขอเตือนไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าอย่าทำให้ประชาชนเริ่มตั้งข้อสงสัยกับเรื่อดังกล่าวเหมือนที่เคยมีการตั้งข้อสงสัยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของนายกฯ อย่าให้ภาพเหล่านั้นย้อนกลับมาอีก หากอยากให้ประเทศนี้เดินหน้าสู่ความปรองดองและความสงบสุขอย่างแท้จริง”