วุฒิฯ ยังรุมสับรัฐไร้กึ๋นแก้ไข-เยียวยาน้ำท่วม ชี้ภาพม็อบต้านน้ำไม่ควรเกิด “อนุรักษ์” ระบุจ่ายชดเชย 5 พันบาทไม่เพียงพอ จี้ปรับเพิ่มเป็น 2 หมื่นบาทต่อครัวเรือน วอน รบ.ดูแลชาวบ้านก่อนคิดอุ้นภาคอุตฯ “ยุทธนา” แฉจำนำข้าวส่อเค้าไม่โปร่งใส แถมไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่นาจมน้ำทั่วประเทศ
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 14 สมัยสามัญทั่วไปเป็นกรณีพิเศษ โดย พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ในช่วงก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ ซึ่งสมาชิกได้แสดงความเห็นถึงมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยอย่างกว้างขวาง ทั้งในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร ตลอดจนไปถึงอุบัติภัยที่เพิ่งเกิดในพื้นที่ภาคใต้ด้วย
โดย นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา หารือตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่รัฐบาลมีนโยบายให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 บาทนั้น อาจไม่พอเพียงเมื่อเปรียบเทียบกับการที่รัฐบาลช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมด้วยการปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือแผนโครงการนิวไทยแลนด์ที่จะปล่อยกู้กว่า 7 แสนล้านบาท ขณะที่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมมีมากถึง 3 ล้านคน หรือประมาณ 1 ล้านครัวเรือน โดยยังมีครัวเรือนที่ได้รับผลจากน้ำท่วมขังมากกว่า 1 เดือนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงขอเสนอให้รัฐบาลปรับเพิ่มวงเงินการชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 บาท หรือพิจารณาให้โดยดูจากระยะเวลาที่น้ำท่วม
“รัฐบาลควรปรับปรุงมาตรการช่วยเหลือเพราะเป็นความจำเป็นของผู้ประสบอุทกภัยต้องนำเงินมาใช้ในการการปรับปรุงที่อยู่อาศัย หรือให้ดูแลประชาชนมากกว่าที่จะไปอุ้มภาคอุตสาหกรรม”
ขณะที่ นางนรีวรรณ จินตกานนท์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ภาพที่มีผู้ประสบภัยเริ่มออกมารวมตัวเพื่อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการสะท้อนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังให้การดูแลไม่ทั่วถึง ไม่มีการแผนการดำเนินการใดทั้งสิ้น ประชาชนต้องช่วยตัวเอง เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าต้องอยู่ในสภาพน้ำท่วมขังนานเพียงใด จึงขอให้รัฐบาลกำหนดแผนดำเนินการเร่งด่วนเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย โดยแจ้งข้อมูลให้ผู้ประสบภัยทราบว่าต้องอยู่ในสภาพนี้นานเพียงใด โดยต้องมีให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างชัดเจน
ด้าน พล.ต.อ.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอุทกภัย ขณะที่โครงการที่รัฐบาลได้เสนอต่อรัฐสภาบางโครงการ ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ โดยเฉพาะนโยบายรับจำนำข้าว มีการร้องเรียนว่ามีโรงสีจำนวนมากมีข้าวอยู่ในโรงสีเกือบเต็มโรงสี เมื่อตรวจสอบพบว่าที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะมีความบกพร่องในการรับจำนำข้าว เนื่องจากราคาข้าวที่รับจำนำแตกต่างกัน โดยข้าวหอมมะลิ ตันละ 2 หมื่นบาท ข้าวหอมจังหวัด ตันละ 18,000 บาท ข้าวหอมปทุม ตันละ 16,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้าธรรมดา ตันละ 15,000 บาท ข้าวเหนียว ตันละ 15,000 บาท โดยมีการรับซื้อข้าวหอมจังหวัดไปกักตุนไว้จำนวนมาก โดยนำเอาไปผสมหลังรับจำนำ แล้วเปลี่ยนเอาข้าวหอมมะลิออกไปจำหน่ายก่อน เรื่องเหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก เนื่องจากราคาข้าวที่แตกต่างกัน จึงขอเตือนให้รัฐบาลมีนโยบายจำนำข้าวให้มากกว่านี้ ส่วนตัวจะทำการตรวจสอบต่อไปด้วย
